28 ธันวาคม 2559
คืนแรกหลวงพระบาง
เป็นการมาเยือนหน 2 โดยห่างกันกว่า 20 ปี ครั้งแรกมาแบบสมบุกสมบัน เป็นการมาทางรถยนต์ เข้าทางเชียงของ จังหวัดเชียงรายข้ามเขา ไม่น่าจะเรียกว่าถนน ถ้าวัยรุ่นน่าจะสนุกเพราะรถกระบะ คนนั่งหลังอ้วกเกือบทั้งรถ เป็นที่สนุกเฮฮาในยุคนั้น ผมไม่ขอย้อนอดีตแล้วกัน
มารอบนี้ผมใช้วิธีจองโรงแรมผ่านอโกด้า ส่วนเครื่องบินจองทางอินเตอร์เน็ต ผมเลือกบางกอกแอร์เวย์ เพราะราคาถูกสุดในขณะจองสำหรับไฟท์ที่มาที่นี่
ตอนมาก็สนุกแล้วจากสนามบินสุวรรณภูมิ ผมเดินทางในประเทศบ่อย ส่วนต่างประเทศอดีตบ่อย ด้วยหน้าที่การงาน แต่ก็ทิ้งห่างไปนานมาก ก็นึกวาดภาพการเดินผ่านงวงช้างเข้าเครื่องบิน ที่เคยทำแต่รอบนี้ต้องใช้รถยนต์เป็นบัสเกต มารับไปขึ้นเครื่อง
ด้วยความที่สนามบินสุวรรณภูมิใหญ่โตมากตอนเข้าเช็คอินเพื่อโหลดของใต้ท้อง พนักงานแจ้งว่าเสร็จแล้วให้ขึ้นชั้น 3 ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเราก็ดูเกรท great ประตูทางเข้าเครื่องบิน ในตั๋วบินต้องเดินขึ้นชั้น 4 แต่ที่แปลกใจเพราะผมต้องเดินไหลลงมาทีละชั้น ทีละชั้น จนมาสุดทางนั่งรอเครื่องบินเรียก ที่ชั้น 2 ก็นึกว่าสุดแล้ว พอพนักงานเรียก เฮ้ย ต้องเดินลงมาอีกชั้นจนถึงพื้น อะไรว้าเขามีรถมารับตรงประตูทางเข้าสนามบินพื้นรันเวย์ ใช้บัสเกต
ผมนึกถึงตอนไปและกลับ นครศรีธรรมราชอารมณ์เดียวกันแต่นั่นเข้าใจได้สนามบินเล็ก รถรับส่งก็ไม่ใหญ่มาก มีให้ยืมร่มบังแดดด้วย แต่ที่สุวรรณภูมิใหญ่มาก บัสเกต ขับไปไกลพอสมควร แล้วให้ทุกคนเดินขึ้นบันไดเครื่องบิน เท่ไปอีกอย่างสำหรับสุวรรณภูมิ ผมไม่รู้เป็นเพราะเครื่องมันเล็ก หรืองวงช้างไม่พอ เพราะเคยได้ยินข่าวว่าสุวรรณภูมิแออัดมาก เต็มไปด้วยเที่ยวบินจนมีโครงการต้องขยาย
ใช้เวลาบินชั่วโมงกว่านิดหน่อยก็ถึง บรรยากาศในเครื่องบินอึดอัดเป็นเพราะเครื่องเล็กมาก เข่าแทบติดกับเบาะหน้า ภาวนาให้รีบถึงซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานมาก ถึงหลวงพระบางผมติดต่อโรงแรม เพราะนัดกันว่าจะมีรถมารับ จริงๆถ้ามาเองก็ยาก เพราะโรงแรมอยู่อีกฝั่งของเมือง ต้องข้ามแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเรือของทางโรงแรมคอยวิ่งรับ
ก่อนจะเดินทางไปหลวงพระบาง ผมเปิดโรมมิ่งโทรศัพท์ แต่ไปถึงใช้อะไรไม่ได้เลย แล้วก็แพงมากค่าโทรก็เลยตัดสินใจซื้อซิมเติมเงิน 400 บาทจำไม่ได้ว่ากี่กีบใช้ทั้งเน็ต และโทรเขาขายกันในสนามบิน ก่อนทางออก เขาถามผมว่าเอากี่วันผมคำนวณทริปนี้ก็ประมาณ 6 วันคนขายบอกมีแบบ 7 วันเอาวะ คือไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง แต่อาศัยเคยเห็นโฆษณาในเมืองไทยว่าอันลิมิต คือมันไม่มีหรอกครับ หลังจากเน็ตหมดมันก็ช้า ผมว่าน่าจะได้เน็ตประมาณ 1.6 จิกะไบต์ ตลอดทริป เพราะมี SMS ส่งมาเป็นรายวัน ตกวันละ 200 กว่าเมกะไบต์
ผลจากมีซิมลาวผมก็ใช้โทรศัพท์ได้สะดวกขึ้น ผมใช้โทรหาโรงแรมก่อนเลย ว่าจะมีเจ้าหน้าที่มารับมั้ย เพราะรอนานมากหรือจะให้ผมว่าจ้างรถไปเองก็ได้ เจ้าหน้าที่โรงแรมบอกให้รอซักพัก กำลังเดินทางมารอประมาณเกือบชั่วโมง ซึ่งนานมากในเวลาแบบนั้น
หลังจากรถมารับก็พาผมไปที่พัก อย่างที่บอกถ้ามาเองก็ยากเหมือนกัน ต้องข้ามเรืออีกทอดหนึ่ง แต่บรรยากาศดีมาก สำหรับคนที่ต้องการมาพักผ่อนเงียบๆ เพราะห่างเมือง และอยู่ในป่าไม่มีผู้คนหรือชาวบ้านฝั่งโรงแรม ความเป็นส่วนตัวสูงมาก ทางขึ้นโรงแรมก็เหมือนตอนปีนบันไดสูง อารมณ์คล้ายมาฟิตเนสเหนื่อยแต่ก็สนุก
ผิดกับมารอบแรก ตอนนั้นผมนอนในเมืองก็จอแจตามประสาใกล้เมือง หลังจากเช็คอินก็นัดกับ ทางโรงแรมว่าจะเข้าเมืองไปเดินตลาดกลางคืน ที่นี่เขาเรียกตลาดมืด ก่อนจะนั่งรถก็ต้องนั่งเรือข้ามฝั่งโขงกลับมาอีกฝั่งกันก่อน เรียกว่าไปไหนมาไหนรู้กันหมด พอถึงตลาดมืดก็ต้องหาอะไรกินด้วยความหิว
ผมนึกภาพไปถึงสมัยก่อนที่หากินอาหารแบบคนไทยกินนั้นยากมาก ด้วยคนลาวเขากินเฝอหรือก๊วยเตี๋ยว และขนมปังบาแก็ตต์ (Baguette) เป็นขนมปังยาวที่คนฝรั่งเศสเขากินกัน รอบที่แล้วผมก็กินครับแต่มาครั้งนี้ไม่มีความอยาก เขาเอาขนมปังบาแก็ตต์ (Baguette) ฝ่ากลางแล้วเอาหมู หรือ เนื้อ ราดไปตรงกลางแบบที่ฝรั่งเขากินกัน ประมาณฮอทดอก แต่ผมไม่ค่อยชอบ
มารอบนี้เฮ้ยมีร้านขายอาหารตามสั่งด้วย อาจจะเป็นเพราะคนไทยมาเที่ยวกันเยอะ ก็เลยมีอาหารแบบไทยๆ ให้ทายผมกินอะไรพิเศษมาก
กระเพราไก่ราดข้าวสั่งแบบเผ็ดๆ และแกงจืดไข่น้ำ ข้าวราดด้วยพริกน้ำปลาที่ชอบมาก รอบนั้นไม่มีกิน มีพริกและน้ำปลา แต่ไม่เคยเอามารวมกัน
ผมถามรถรับส่ง ที่นี่มีร้านเช่ามอเตอร์ไซค์มั้ย ผมคงต้องแว้นเองอาศัยรถรับส่งกับการเดินด้วย 2 เท้าทั้งวันคงไม่สนุกแน่ การใช้รถรับส่งของทางโรงแรมก็ไม่สะดวก เพราะต้องรอแขกของโรงแรมคนอื่นๆ ที่จะกลับพร้อมกัน หรือจะไปสถานที่ไหนๆ ก็คงไม่สะดวกนัก อีกอย่างเป็นความเกรงใจส่วนตัวมากกว่า รถมีแค่ 2-3 คันแขกโรงแรมก็มีไม่ใช่น้อย จะมาคอยวิ่งรับส่งผมอย่างเดียวก็กระไรอยู่ รถโรงแรมบอกว่ารุ่งเช้าจะพาไปร้านเช่ามอเตอร์ไซค์
อีกอย่างถ้ามีมอเตอร์ไซค์ผมจะตะเวณหาของกินได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่นั่งกินอยู่ในเมืองหลวงพระบางส่วนของเมืองมรดกโลก เพราะเห็นมีแต่อาหารยุโรป ขนมปังเป็นหลัก และอีกอย่างก็ของปิ้งย่าง ผมก็ไม่ค่อยคุ้นลิ้นที่จะกินเป็นอาหารให้อิ่ม
ตัวผมเองกินง่ายมั้ย ถ้าอยู่เมืองไทยคงง่ายมีพริกน้ำปลาก็พออยู่ได้ แต่ที่หลวงพระบางคงยากซักหน่อย เพราะความคุ้นเคยในรสชาติอาหารมันไม่มี
สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจ ก่อนออกจากโรงแรมมีผู้จัดการโรงแรม ซึ่งเป็นคนไทยเป็นคนลำปาง เขาดูแลพวกผมอย่างดี ผิดกับคนไทยกลุ่มอื่น เริ่มต้นวันแรกเขาบอกลูกน้องให้ยกเบียร์ลาว มาให้ผม 1 ขวดระหว่างรอเรือ และบอกลูกน้องห้ามเก็บเงินให้ลงบัญชีเขาไว้
แถมพี่เขานัดแนะว่าคืนพรุ่งนี้ขอเลี้ยงข้าวผมอีก 1 มื้อเย็น ผมตั้งข้อสังเกตุพี่เขาคงเหงาที่ต้องมาอยู่หลวงพระบางหลายปี และอีกอย่างน่าจะเป็นการพูดคุยกันถูกคอซะมากกว่า เพราะถ้าพี่เขาปฎิบัติกับคนไทยเหมือนกัน หรือแขกอื่นเหมือนกัน ผมคงไม่ได้กินอาหารฟรีในโรงแรมสบายไป
เดี๋ยวพรุ่งนี้คงต้องไปหาคำตอบเพราะอะไร พี่คนนั้นชื่อ พี่ตุ๋ย กับโรงแรมสมถวิล
ราตรีสวัสดิ์
สาม สอเสือ