31 ธันวาคม 2559
บ้านน้ำลึง
ออกตัวก่อนจะเขียนถึงเรื่องนี้ ผมเข้าไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต ไม่มีบ้านนี้ไม่มีแม้แต่คำนี้ และในเมืองหลวงพระบาง ก็ไม่มีบ้านนี้ปรากฎอยู่ อีกทั้งไม่มีในภาษาลาว เจอแต่คำว่า ลึ่ง คือ บ่อยๆ คุ้นเคย ผมว่าผมฟังไม่ผิด น้ำลึง
เช้าวันนี้ตื่นแต่เช้าปลุกไว้ตี 4 แต่ก็ตื่นก่อนด้วยความที่ห่วงจะตื่นไม่ทัน ตั้งใจไว้จะไปให้ทันตักบาตรในเมืองให้ได้ คราวนี้ไม่เอ้อระเหยเหมือนเมื่อวาน ได้ถามแล้วว่าพระจะออกประมาณ 6 โมงเช้า ฟ้าที่นี่ยังมืดมากอากาศเย็นเฉียบ โอกาสถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือยากมาก ถ้าใช้แฟรชก็จะได้ภาพแบบ แบนๆ ภาพสว่างหลังมืดไม่สวยแน่ คราวนี้ผมเตรียมชาร์จแบตกล้อง nikon d7200 ประจำตัว เตรียมเลนส์ fix 50 mm. ดูถ้าว่าจะกินแสงน้อยสุด ในอุปกรณ์ที่มี โอกาสถ่ายในที่มืดพอไหว ในขณะที่แหล่งภาพกำลังเคลื่อนไหว
ผมขับมอเตอร์ไซค์ใช้เวลาไม่นานมัก ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ตลอดทางในเมืองเริ่มมีนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน เตรียมใส่บาตร เรียงรายตามถนนก่อนจะเข้าถึงจุดเมืองมรดกโลก ผมตัดสินใจเข้าไปในเมืองดีกว่า เพราะมอเตอร์ไซค์สามารถลัดเลาะไปถึง จอดใกล้ๆ ส่วนรถใหญ่ต้องจอดห่างพอสมควรให้นักท่องเที่ยวเดินเอา หรือไม่เขาไปส่งแล้ววนออกมาจอดด้านนอก
ขับมาจนถึงทางปิดซึ่งห้ามรถทุกชนิดเข้า ก็ต้องจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงนั้น แล้วจะเดินต่อหรือไม่เดินก็ได้ เพราะถึงสถานที่หัวถนนแล้ว ผมเห็นแม่ค้าเอาข้าวของใส่บาตรมาขาย เป็นข้าวเหนียว กับขนมซองเป็นห่อ ลดมนต์เสน่ห์ไปเยอะ ไม่เหมือนในอดีตถ้าจำไม่ผิดสมัยนั้นเป็นอาหารเหมือนทางเหนือให้ถุง กับข้าวเหนียวร้อนๆในกระติ๊บ ตอนนี้นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด เตรียมถ่ายภาพเห็นพระเป็นเซเลปดารา
ผมพลาดเองแทนที่จะเดินต่อไปอีกหน่อยถึงหน้าวัด จะได้ภาพสวยกว่าเก็บฉากหลัง แต่ก็ไม่ได้เดินเพราะนึกว่าข้างในเต็มจนล้นมาด้านนอก และพระกำลังเดินแล้ว ตอนนั้นตัดสินใจเอาภาพหัวถนนก่อนเป็นประตูรั้วบ้านคน บรรยากาศตัดบาตรเลยไม่ค่อยสวย แต่ก็ยังดีได้ภาพ
ไม่รู้ซิผมเคยมาเมื่อ 20 ปีก่อนทำให้นึกถึงภาพในอดีต มนต์เสน่ห์หลวงพระบางไม่เหมือนเดิม สภาพบ้านเรือนถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองมรดกโลก ห้ามดัดแปลงตัวอาคาร แต่ก็ถูกพัฒนาภายในบ้าน จนทันสมัยไม่ได้บรรยากาศแบบเก่าก่อน โลกมันพัฒนาเราก็คงได้แบบนี้ จะหยุดอดีตได้ยังไง เนอะ
หลังจากตักบาตรอยู่พักใหญ่จนพระเดินเข้าวัดหมดแล้ว ก็แวะหาอะไรกิน ยังคงเป็นร้านเดิม เฝอ ผมไม่รู้จะหาอะไรกินร้านรวงก็ไม่ค่อยเปิด ที่ไม่เข้าใจคนเมืองนี้ มันเป็นเมืองท่องเที่ยว แล้วเป็นไฮซีซั่น น่าจะรีบกอบโกยเงินในกระเป๋านักท่องเที่ยวที่พร้อมจะจ่าย
ภาษาผมเรียกว่าคุณหยุดเที่ยวผมหยุดบ้างซะงั้น หาของกินยากก็ต้องอาศัยร้านเดิมกินลองท้องแล้วค่อยกลับรีสอร์ทไปพัก บ่ายค่อยออกมาหาอะไรกิน อยากกินอาหารพื้นถิ่นเห็นมีแต่ร้านขนมปัง กินแบบคนลาวชาวฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคม
ช่วงบ่ายผมออกจากรีสอร์ทอีกครั้ง เห็นคนขับรถบอกมีพี่ชาย เขารับจ้างพาเที่ยวด้วยรถยนต์ของเขาเอง ก็นัดแนะว่าพรุ่งนี้ 9.30 น.มารับได้เลย เพราะมอเตอร์ไซค์ผมก็ต้องเอาไปคืน ซึ่งเป็นวันสุดท้าย และไม่สะดวกที่จะออกนอกเมืองเที่ยวไกลๆ ไม่มั่นใจในถนนและฝีมือตัวเอง
ผมตะเวณหาของกินออกไกลเมืองหน่อยดูจนมั่นใจ ร้านนี้ไม่ได้ขายอาหารแบบฝรั่งแน่ แต่ก็สั่งไม่เป็นร้านอาหารเป็นรูปแบบภัตราคาร โดยส่วนใหญ่ผมจะสั่งอาหารแบบไทยเสียมากกว่ามีอย่างเดียว ไคแผ่นจิ้มแจ่ว ซึ่งเป็นสาหร่ายแม่น้ำโขง เขาเอามาตากเป็นแผ่นแล้วก็ทอดจิ้มกับแจ่ว ซึ่งไม่ใช่ปลาร้า ถามว่าอร่อยมั้ยเฉยๆ ครับแต่ที่นี่เขาขาย ไคแผ่นกันทั้งเมือง ตามตลาดสด ซึ่งกลับไปทำกินเองก็ได้เยอะแยะเต็มไปหมด รวมทั้งแจ่ว (มารู้ที่หลังแจ่วมีส่วนผสมของหนังควายที่ผมซื้อมาด้วย)
อาหารที่นี่ทำจานใหญ่มาก ผมสั่งมา 5 อย่างเพราะกิน 2 คน โดยไม่รู้ว่าปริมาณขนาดไหน จาน ชาม โอ้แม่เจ้าอาหารชามใหญ่เป็นกะละมัง จานแบนก็ใหญ่มากเต็มโต๊ะกลมขนาดใหญ่
เห็นจำนวนอาหารก็เซ็งแล้วครับ ถ้าอยู่เมืองไทยผมห่อกลับบ้านแน่ เพราะผมเตรียมเตาแก๊สสนามมาด้วย แต่จนใจหาซื้อแก๊สกระป๋องไม่ได้ ขึ้นเครื่องบินมาก็ไม่ได้ ที่แบกอุปกรณ์มาเลยไร้ประโยชน์หนักเปล่าๆ
ผมกินอาหารเสร็จของเหลือไม่ห่อกลับไม่รู้จะเอาไปทำอะไร หมดเงินไป 2 แสน 6 หมื่นกีบ ก็ประมาณพันกว่าบาท ก็ไม่ได้เยอะแยะแต่เสียดายของเหลือเท่านั้น
ผมกลับมาที่รีสอร์ทอีกครั้ง พี่ตุ๋ย ผู้จัดการนัดผมไว้ 4 โมงเย็น จะให้คนเรือพาไปดูพระอาทิตย์ตก ตรงช่องเขาสลับซับซ้อน โดยการแล่นเรือไปในแม่น้ำโขงลงทางใต้ของเมือง
โชคไม่ดีท้องฟ้าปิดไม่มีโอกาสเห็นดวงตะวัน ที่นี่เรียก ตะเว็น เมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไรผมอาศัยชวนคุยกับคนเรือ เรือเขาสะอาดมากพื้นเป็นไม้สักขัดมัน พี่เขามากับเมียและลูกสาว
คุยกันพักใหญ่เลยรู้ว่าบ้านเมียเขาขับเรือไปถึง
เออดี ไม่เห็นตะวันเที่ยวบ้านเมียเขาก็ยังดี ผมพูดกับพี่เขาไปเที่ยวบ้านเมียพี่ คุยกันเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พอจับทางได้ เรือแล่นมาไกลพอสมควรท่ามกลางอากาศหนาว เพราะอยู่บนพื้นน้ำ เรือมาจอดฝั่งผมเห็นบนฝั่งเป็นหมู่บ้านขนานไปกับตลิ่งแม่น้ำโขง เหมือนหมู่บ้านในชนบท ผมลงจากเรือเดินขึ้นฝั่งทันที ขึ้นไปด้านบนเป็นถนนเป็นลูกรังทอดยาวผ่านหมู่บ้าน ฝุ่นเพียบเพราะมีรถทำทางอยู่ พี่เขาชวนไปเขาก่อน แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับเห็นแต่หน้าบ้านเกรงใจ ต้องมาดูแล
พี่เขาชวนไปเที่ยววัดใกล้บ้านเดินซักประมาณ ร้อยสองร้อยเมตร ก็ไม่ไกลสนุกหล่ะ ไม่เห็นตะวันก็ไม่เป็นไร ได้มาเที่ยวในสถานที่ ที่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวสนุกไปอีกแบบ
ผมถือว่าการได้มาชนบทของเมืองลาว เป็นของแถมที่วิเศษสุด ตะวันมองที่ไหนก็ได้ แต่ชนบทต่างบ้านต่างเมืองไม่เหมือนกันโอกาสน้อยมาก ผมว่าเกินคุ้มถ้าตะวันมา คงไม่ได้มาถึงที่นี่ บ้านในนั้นเป็นลักษณะบ้านชนบทเหนือ หรืออีสาน บ้านเรา ตอนนั้นเป็นสิ้นปีบรรยากาศ ในหมู่บ้านก็สนุกเขาเปิดเพลงอีสานเสียงดัง ผมนี่คุ้นเคยอยู่แล้ว วัยรุ่นรวมกลุ่มดื่มเบียร์บนแคร่ไม้ไผ่ขัดแตะ เห็นแล้วอยากแจมแต่ก็กำลังจะหมดแสงไปวัดก่อนดีกว่า บรรยากาศวัดชนบทที่ไม่ได้ผ่านการตกแต่งเหมือนวัดเมืองเงียบสงบ สวยไปอีกแบบ
ผมถามว่าวัดนี้สร้างกันยังไง พี่เขาบอกชาวบ้านช่วยกัน ผมนึกไปถึงกฐินไม่รู้มีหรือเปล่าไม่ได้ถาม
ตรงลานวัดมีการตากไคแผ่นบนใบตองวางบนตับใบจาก ผมเห็นแห้งดีแล้ว ว่าจะช่วยซื้อแต่คนตากบอกยังแห้งไม่ดีเอาไปจะเสีย
ดูซิความซื่อสัตย์ของเขา ถ้าผมซื้อก็ไม่มีโอกาสได้มาคืน และก็ไม่มีโอกาสต่อว่าด้วยเพราะกลับกรุงเทพแล้ว
ออกจากหมู่บ้านขึ้นเรือผมถามที่นี่เรียกว่าอะไร พี่เขาบอกบ้านน้ำลึง แล้วเขาชี้ไปที่ในน้ำ ตลิ่งมันเว้าเข้ามาทำให้น้ำนิ่ง ผมแปลความหมายแบบนั้นตามที่ผมพยายามเข้าใจ แต่ผมก็คิดว่าเดี๋ยวมาค้นในเน็ตก็ได้ ตอนนั้นนึกอยู่ 3 แบบ น้ำวน น้ำนิ่ง น้ำลึก ประมาณนั้น
ก่อนจะพาผมมาส่งถึงรีสอร์ท ผมถามค่าเรือเท่าไร เขาบอกเก็บบ่ได้ ผจก.รีสอร์ท เขาจะจ่ายเองถ้ารับไว้เดี๋ยวโดนดุเขาดุมาก
ผมบอกเอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้เป็นของขวัญไม่ได้จ่ายค่าเรือ ให้ลูกสาวพี่ไว้เรียนผมควักไป 1 พันบาทให้พี่เขา สำหรับเขามันเยอะมากเหมือนเงินทริป
มาถึงตอนนี้ผมว่าทริปนี้ผมคุ้มแล้วครับ
สวัสดี
สาม สอเสือ