6 กุมภาพันธ์ 2563

ทศวรรษที่หายไป

ความวุ่นวายทางการเมืองมีผลทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ตลอดระยะเวลาความขัดแย้งเกือบ 2 ทศวรรษ เศรษฐกิจไทยทำท่าว่าจะดี สุดท้ายก็ถูกฉุดกระชากลากลงต่ำ หลายครั้งหลายหน ขนาดมีความร่วมมือกันเป็นปึกแผ่นทั้งสังคม ยังไม่รู้คนไทยจะรับมือกันไหวมั้ย กับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ทั้งการเมืองโลก การเมืองไทย เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ติดอาการป่วยตามๆ กัน

ความขัดแย้งในประเทศ ความขัดแย้งต่างประเทศ ยึดอำนาจ ต่างชาติไม่ค้าขายด้วย การค้าขายเปลี่ยนแปลง โลกดันมาเพิ่มแรงกดดันอันใหม่ ไวรัสอู่ฮั่น ยิ่งพาให้เศรษฐกิจอ่อนแรงหนักขึ้นไปอีก อีกทั้ง อินเตอร์เน็ตเข้ามาแทนที่ AI เข้ามามีส่วนสำคัญในการค้าขายยุคใหม่ กิจการหลายอย่างถูก ดิสรัป ล้มหายตายจากกันเป็นจำนวนมาก

ผลของการดิสรัป ทำให้โรงงานปิดตัว คนตกงานกันมากมายโรงงานย้ายฐานการผลิต ประเทศไทยไม่มีเสน่ห์สำหรับนักลงทุน ยังไม่นับรวมบัณฑิตจบใหม่ที่คาดว่าจะตกงานกันอีกปีละเกือบ 3 แสนคน มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ

มีนักวิเคราะห์กล่าวว่า ไทยผ่านจุดสูงสุดมาแล้วในปี 2555 หลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็ไหลลงเรื่อยๆ ไทยเคย GDP โต อยู่ 7 กว่าๆ หลังจากนั้นก็ไหลลงมาเรื่อยๆ GDP เหลือ 2-3 เท่านั้น มีบทวิเคราะห์ก่อนจะมีไวรัสโคโรน่า จากเมืองฮู่ฮั่น เศรษฐกิจไทยน่าจะถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 แต่ก็จะลากยาวเพราะไม่มีจุดฟื้นตัว คล้ายรูปตัว L แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่เพราะแบงค์ชาติ บอกว่าเศรษฐกิจไทย ตกต่ำเป็นอย่างมากในปี 2563 ทำให้ กนง. ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก .25 บาท เหลือ 1 บาท เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563

นี่ยังไม่นับ GDP ในประเทศที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงแทบจะวัดความแม่นยำได้ยาก เพราะ GDP มันวัดจากรายได้ส่วนบนของสังคม เกือบทั้งหมด มันทำให้คนระดับล่างเป็นภาพลวงตามองไม่เห็น หลายคนบอกว่าที่ไหนก็เหลื่อมล้ำ แม้แต่ในอเมริกาไม่ต้องกังวลมาก แต่ข้อมูลล่าสุด ไทยเหลื่อมล้ำติดอันดับ 1 ของโลกเราควรกังวลกันหรือยัง เป็นข้อมูลในเดือนมกราคม 2563

ไม่อยากแตะการเมืองแต่ก็ต้องแตะ เพราะมันเป็นผลกระทบไปถึงการทำมาหากิน ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต ถ้าอำนาจรัฐ อำนาจองค์กรอิสระ และอีกหลายหน่วยงาน มันกว้างมากลึกมากจนไม่มีใครคาน

เราจะเห็นความเพี้ยนในการตัดสินของกระบวนการทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม หลายครั้งหลายหนเกี่ยวกับการเมือง เพราะไม่ถูกตั้งไว้อำนาจเป็นของประชาชน แต่อำนาจเป็นของคนกลุ่มน้อย ตามหลักประเทศไทยที่ถูกนินทาว่าเผด็จการ

คนต่างประเทศที่มองไทยคงจะว่าแปลก แต่คนไทยด้วยกันมองไม่แปลก เพราะมันเห็นความเพี้ยนของสังคมไทย มากกว่า 10 ปีมากกว่า 1 ทศวรรษ

ช่วงเวลาที่ว่ามันเหมือนกับหายไป ไม่ใช่หายไปเฉยๆ มันไม่พัฒนาไม่พอ แถมยังถอยหลังไปไกล ไปไกลมากๆ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญดูจะสร้างปัญหามากๆ ทำให้รัฐบาลทำงานไม่ได้ ตัดสินใจอะไรมากไม่ได้ ถึงขนาดมี รัฐมนตรีบางคน หลุดปากมีการแจกกล้วย ภาษาบ้านๆ ก็คือแจกผลประโยชน์ ส่วนจะเป็นอะไรต้องไปจินตนาการกันเอง

ประเทศไทยถอยหลังไปมากกว่า 30 ปี แล้วยิ่งโลกปัจจุบันมันเป็นโลกแห่งความเร็ว และสื่อสารกันง่ายขึ้นผ่าน โซเชียลมีเดียสารพัด ขนาดมีคนเปรียบเทียบว่า เข็มตกอีกฝากของโลก อีกฝั่งจะได้ยินทันทีพร้อมๆ กัน

ประชาชนไม่มีอำนาจ เรากับวางอำนาจไว้กับคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีทหารเป็นตัวนำ และพ่อค้านายทุนที่อิงอำนาจ เขาลือกันว่าเข้ามากรอบโกยผลประโยชน์

เราจะไปยังไงกันต่อ มีคนตั้งคำถาม แต่ไม่มีใครอยากสรุปบทจบ ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ หรืออีกทางก็คือกลัวจากคาดเดา เพราะมักจะคาดเดาไปในทางร้าย และรุนแรงในอนาคต

หลายครั้งหลายหน มีผู้วิงวอนเสมอให้ทหารถอยออกจากการเมือง พอได้แล้ว หยุดได้แล้ว เพราะมันสุ่มเสี่ยงจะเกิดเหตุความรุนแรงในอนาคต

แต่ก็อย่างว่าใครมีอำนาจก็มักจะไม่ได้ยินเสียง มักจะเชื่อว่าตัวเองเอาอยู่คุมอยู่

ประวัติศาสตร์มันบอกเสมอ เมื่อถึงเวลาไม่ว่าใคร หรือหน่วยไหนก็เอาไม่อยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะถึงวันนั้นเมื่อไหร่

เราคงนั่งรอ นั่งมอง ทศวรรษที่หายไป ไปพร้อมๆ กัน

สาม สอเสือ