ล่องแควน้อย

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาวันหยุดยาวถือโอกาสไปท่องเที่ยว ครั้งนี้ไปจังหวัดกาญจนบุรี ผมมีโอกาสไปจังหวัดนี้น่าจะนับครั้งได้ ทั้งๆ ที่สถานที่ท่องเที่ยวเยอะแต่โอกาสให้คิดถึงน้อย

ครั้งแรกที่ไปเอาแบบที่จำได้ ก็ไปล่องแพตามประสาวัยรุ่น ล่องแพแล้วก็นอนในแพ 1 คืน แพล่องไปเรื่อยๆ มาหยุดพักก็กลางดึกเทียบตลิ่งเป็นหาดทราย ไม่ถึงกับสะดวกแต่ก็สนุกตามประสาวัยรุ่น แพใหญ่พอสมควรขึ้นได้หลายคน มีห้องน้ำในแพ เหตุการณ์จำได้แค่นั้น ไม่รู้ที่ล่องเป็นแม่น้ำสายไหน รู้แต่เหตุการณ์วันนั้นด้วยความที่น้ำเชี่ยวมาก ระหว่างล่องแพทุ่นแพไปชนกับโขกหินใต้พื้นน้ำ

สมัยก่อนเขามัดไม้ไผ่เป็นทุ่นใหญ่มาก หลายมัดประคองตัวแพ มีอยู่มัดหนึ่งไปกระแทกกับโขกหิน หลุดมาเกือบครึ่งแพดีที่แพไม่แตกเพราะมันจะหักกลาง

มาอีกครั้งก็เริ่มเข้าวัยทำงานสมัยยังเป็นนักข่าวอยู่ อันนี้ล่องเรืออยู่เหนือเขื่อนแล้วไปพัก เป็นที่พักในแพติดเขาอีกฝากของเขื่อนได้อีกบรรยากาศแบบหนึ่งคือออกไปไหนไม่ได้ ถูกบังคับให้กินเที่ยวอยู่ที่นั่น มีเขา น้ำ แพ มีแค่นั้นผมจินตนาการไม่ออกถ้าเดินข้ามเขาไปเจออีกฝั่งเป็นอะไร

รู้แต่ว่าตรงที่พักมีพระอยู่ 1 รูปอาศัยปักกลดอยู่ในถ้ำเป็นโถงใหญ่ ดูขังดีแต่คงต้องอาศัยการบิณฑบาตจากญาติโยมที่มาพัก หรือจากรีสอร์ทแพ

อีกรอบคราวนี้ขับรถไปไกลเหมือนกัน ไปอีกขอบของเขื่อนเขาแหลม หรือเขื่อนวชิราลงกรณ์ ในอำเภอสังขละบุรีไปพักอยู่บ้านเพื่อนเป็นชาวมอญแท้ๆ แล้วมีความเชื่อเรื่องศาสนาพุทธเยอะมาก ขนาดเข้าวัดต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าลานวัด เรียกว่าถอดกันตั้งแต่ประตูรั้ววัดกันเลย เหมือนประเพณีชาวพม่า

วันที่ไปผมมีโอกาสได้กินข้าวแช่ชาวมอญ ไม่คุ้นลิ้นเท่าไหร่ โดยเฉพาะปลาผัดกับหัวหอมใหญ่ จำรสชาติไม่ได้แต่รู้ว่าเขากินกันแบบนั้น ผมก็พยายามกินแบบเขา เหมือนที่คนกรุงมาทำข้าวแช่หรูหรา ผมก็ไม่ชอบกินว่ากันว่าเลียนแบบมาจากอาหารมอญสำรับนี้ จริงไม่จริงไม่รู้ ในหมู่บ้านมอญมีวัดเล็กๆ ประจำหมู่บ้านผมมองเห็นชาวบ้านเดินไปเดินมาในชีวิตประจำวัน เขาเอาของเทินหัวกันทุกคนแบบชาวมอญ โดยไม่ต้องจับ เดินโดยไม่หล่นตอนนั้นผมก็ไม่กล้าถ่ายภาพ เพราะมันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว เราไปพักในหมู่บ้านบ้านเพื่อน ก็เลยไม่อยากรบกวนใคร

รอบล่าสุดไปพักที่พักริมแม่น้ำแควน้อย ไม่โฆษณาแล้วกันว่าที่ไหน แต่สภาพรีสอร์ทคือยาวมาก ระหว่างที่พักท้ายสุด กับหน้าสุดผมเดาจากการเดินน่าจะเกิน 500 เมตร วันหนึ่งเดินได้ไม่กี่รอบตามประสาคนเป็นเก๊า เดินมากๆ กลัวจะเจ็บข้อนิ้ว

กิจกรรมในรีสอร์ทก็มีสระว่ายน้ำ ซึ่งก็มีเกือบทุกแห่งอยู่แล้ว ริมแม่น้ำแควน้อยบรรยากาศเงียบ ๆ เหมาะสำหรับการพักผ่อนจริงจัง

นอกนั้นเป็นกิจกรรมนอกเหนือจากการพัก ซึ่งทางรีสอร์ทมีให้ทำเยอะ โดยการจ่ายเงินประเภทท่องเที่ยวแอดเวนเจอร์ แต่ผมไม่ได้ไปไหนเลย เตะบอล ยิงธนู ยิงปืนบีบีกัน ขับรถ ATV ปีนเขา ไต่สะพานเชือก กลิ้งตัวในลูกบอลลงน้ำ ผมและคณะไม่ได้ไป เพราะมีทั้งเด็ก และคนแก่ ไม่สามารถร่วมกิจกรรม อีกทั้งเวลามีไม่มาก

เราเลือกกิจกรรมเบาๆ ตามประสามีคนอายุเหลือน้อยร่วมทริป คือ แช่ออนเซ็น น้ำพุร้อนในบรรยากาศเย็นๆ เขาคิดค่าบริการคนละ 500 บาท รวมค่าเรือที่ขับไปส่ง ในส่วนของการแช่น้ำพุร้อน เขามีน้ำพุร้อนให้แช่มีการปรับสภาพน้ำ และอุณหภูมิไว้แล้วมีจำนวน 19 บ่อ เริ่มตั้งแต่ 42 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ร้อนพอ จะปฎิเสธเดินผ่านกันไปหลายคน

แล้วการปรับสภาพน้ำก็มีแบบน้ำร้อนเพียว จนไปถึงผสมสมุนไพร เกือบจะครบเครื่องแกง นอกนั้นก็มีผสมน้ำนม ชา กระเจี๊ยบ ประมาณนี้นะครับเท่าที่พอจำได้

ทีแรกผมนึกว่าเหมือนที่เคยไปที่จังหวัดระนอง ที่นั่นเป็นห้องปิดแช่น้ำคือร้อนมาก แต่ที่เมืองกาญจน์ริมแม่น้ำแควน้อยเป็นการแช่ในบรรยากาศเปิด เดินไปแช่ทีละบ่อ ทีละบ่อ

มีแบบหนึ่งที่เพิ่งเคยลองก็คือ ปลาตอดเท้า หรือที่เขาเรียกสปาปลา เข้าไปอ่านในอินเตอร์เน็ตก็เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้มันมีปลาหลายชนิด บางคนเรียกปลาปลอม ปลาแท้ต้อง ปลาการารูฟา อันนี้ไม่มีความรู้ขอข้าม รู้แต่ว่ามันรุมตอดเท้า ส่วนมีอันตรายหรือไม่ ไม่รู้จริงๆ บังเอิญผมมีแผลจากยุงกัดมันตอดแผล อันนี้เจ็บ

มีกิจกรรมสนุกที่มีโอกาสทำก็คือ นั่งบนแพให้เรือลากไปเหนือน้ำ ประมาณคร่าวน่าจะประมาณ ครึ่งชั่วโมงโต้กระแสน้ำขึ้นไป แล้วใส่เสื้อชูชีพกระโดดลงน้ำให้ตัวลอยไหลตามน้ำกลับมาถึงรีสอร์ท ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมง ระหว่างทางก็ปีนแพ กระโดดน้ำกันสนุกสนานท่ามกลางน้ำเย็นๆ ของแม่น้ำแควน้อย

กิจกรรมนี้ตอนเล่นสนุกแต่พอได้พักซัก 1 วันจะรู้ว่าปวดเมื่อยตามตัวมาก เหมือนออกกำลังกายแขนขาตลอดเวลา มีค่าใช้จ่ายประมาณ 350 บาทต่อคน ถ้ากรุ๊ปท่องเที่ยวมีปริมาณคนพอสมควร ก็ไปกรุ๊ปเดียว แต่ถ้าคนน้อยก็ต้องแจมกับกรุ๊ปอื่น

บังเอิญของผมมีคนพอที่คุ้มกับค่าเรือ กับค่าแพ ก็เลยไปกรุ๊ปเดียว ไม่ต้องปนกับใครก็เลยสนุกได้เต็มที่

ตอนเล่นน้ำก็ไม่ได้ห่วงสุขภาพกันซักเท่าไหร่ ท่ามกลางอากาศเย็นในตอนเช้า ทุกคนเพิ่งหายจากหวัดไม่นาน บางคนก็ซมหวัดกันอยู่ แต่อย่างว่านานๆ มาทีก็ตัดสินใจทนหนาวเอา ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่

กลับถึงกรุงเทพน้ำหมูกไหลกันหมด ตัวผมเองก็เพิ่งจะฟื้นจากไข้หวัด ดีที่กลับถึงกรุงเทพไข้หวัดไม่หวนคืน ไม่อย่างนั้นก็ต้องให้หมอฉีดยากันอีกรอบ

ขากลับก็นัดแนะทุกคนไปชม สะพานข้ามแม่น้ำแคว ก็เล่าประวัติศาสตร์ให้เด็กๆ ฟังเรื่องสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 พอจะมีเกร็ดประวัติศาสตร์ เพื่อการชมได้อรรถรส

เล่าพอจะเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ผู้อ่าน คงไม่ถึงกับเอามะพร้าวมาขายสวนสำหรับคนกาญจน์

บันทึกไว้ 22 กุมภาพันธ์ 2560

สาม สอเสือ