วัฒนธรรมหมาเห่า

ช่วงนี้ไม่ได้เขียนหนังสืออะไรเลย บทความชิ้นนี้ใช้เวลาเขียนหลายเดือน เพราะเริ่มขี้เกียจและไร้อารมณ์ ความจริงแล้วเขียนหลายเรื่องแต่ก็ลบทิ้ง คิดว่าไม่เหมาะสมจนอารมณ์แตกกระเจิง ต้องตั้งหลักกันเกือบทุกวันจึงอยากเสมอความคิด ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง

ผมเองสรุปได้ว่าประเทศไทยใช้ฮีโร่เปลือง หรือเป็นฮีโร่ได้ไม่นาน นอกจากนั้นคนตายเท่านั้นจะกลายเป็นคนดี

ถ้าหากใครย้อนอ่านประวัติศาสตร์ไม่ต้องนานนักไม่เกิน 40 ปี นายกรัฐมนตรีของไทยขณะอยู่ในตำแหน่งมักจะถูกด่าทอ และกล่าวหาจากสื่อมวลชนบางคนบางกลุ่ม และนักวิชาการบางคน แนวความคิดของสื่อก็คือ ไอ้พวกนี้มาแล้วก็ไปแต่พวกเรายังอยู่ และก็มีความรู้สึกดูแคลนนักการเมืองที่เพิ่งมา คิดว่าตัวเองสัมผัสการเมืองมาก่อน ทั้ง ๆ ที่มันคนละหน้าที่ แต่หลังจากนักการเมืองลงการตำแหน่งผ่านไปซัก 5 ปี หรือ 10 ปี มักจะมีการกล่าวอ้างถึงบุญคุณในขณะนั้นที่ช่วยพัฒนาประเทศ

นักวิชาการบางคนก็ตัวดี ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเราต้องการคนซื่อสัตย์แต่ก็บ่นว่าเชื่องช้า มายุคหนึ่งสมัยหนึ่งเราต้องการคนมีวิสัยทัศน์ ส่วนเรื่องซื่อสัตย์พูดถึงกันน้อยก็ได้คนมาอีกประเภทหนึ่ง เราพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญกันเรื่อย มาแก้ได้สมัยเดียวก็ต้องเปลี่ยน เพราะยุคสมัยเปลี่ยนช่องทางมันก็เปลี่ยน ไม่ว่านายกรัฐมนตรีมาจากเลือกตั้ง หรือมาจากแต่งตั้ง ส.ว.มาจากแต่งตั้ง หรือเลือกตั้ง ส.ส.เขต จะเลือกเขตเดียวเบอร์เดียว หรือยกพวงมันก็วนกลับไปกลับมา รัฐธรรมนูญไทย ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่กันตลอด ถอยไปนับทางนั้นทีทางนี้ที แต่มีสิ่งเดียวที่เรายังไม่เคยคิดกันอย่างจริงจัง จะเพิ่มพลังประชาชนกันอย่างไรให้เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบหรือถ่วงดุลน่าจะเริ่มจากประชาชน สิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชนไม่เคยได้รับการดูแลไม่ว่ายุคใดสมัยใด องค์กรอิสระตั้งขึ้นมาก็หลุดอำนาจไปจากประชาชน องค์กรอิสระที่ผ่านมาก็ทำงานแทบจะเป็นรัฐอิสระ ไม่ฟังใครคิดว่าตัวเองแน่ บางแห่งก็ถูกควบคุมซะง่อยเปลี้ย คือประชาชนนั่งดูพวกที่คิดว่าเก่งกว่าทะเลาะกัน และคิดแทนทุกอย่างว่าประชาชนโดยส่วนใหญ่คิดอย่างนั้นอย่างนี้ จนถึงขั้นคิดแทนทั้งหมด เพราะคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่คิดไม่เป็น มีแต่กลุ่มคนที่คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา มีแค่หยิบมือที่คิดว่าตัวเองถูกหมด พอพูดอะไรที่ไม่เข้าท่าก็หลบเข้ากลีบเมฆ

ผมว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ที่ร่างโดย ส.ส.ร.สมัยนั้นดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ การป้องกัน ส.ส.ขายตัวขายเสียง องค์กรอิสระในการตรวจสอบทุจริต เพียงแต่น่าจะปรับปรุงในส่วนของอำนาจประชาชนซึ่งอาจจะจัดตั้งเป็นองค์กร ซึ่งคงแก้ไม่กี่ข้อให้มีอำนาจในการตรวจสอบองค์กรอิสระ และก็มีองค์กรที่มีอำนาจตัวสอบองค์กรภาคประชาชน และก็วนกลับมาให้ รัฐบาลก็มีอำนาจตรวจสอบองค์กรที่มีอำนาจตัวสอบภาคประชาชน วนกันไปทำให้เป็นใยแมลงมุมที่มองไม่เห็น จะได้ถ่วงดุลกันทุกภาคทุกส่วนผมคิดแบบคนสมองเล็กๆ คือให้ตัวสอบวนกันไปไม่ให้องค์กรใด มีอำนาจเหนือองค์กรใด มันน่าจะเป็นการถ่วงดุลที่ได้ผล รัฐบาลที่ได้เสียงข้างมากก็บริหารประเทศอย่างแข็งแรง องค์กรอิสระก็ตรวจสอบทุจริตได้อย่างเข็มแข็ง องค์กรภาคประชาชนก็ตรวจสอบองค์กรอิสระได้อย่างเข้มแข็ง และก็มีองค์กรตรวจสอบองค์กรภาคประชาชนอีกครั้งถ้าทำอะไรไม่ถูกไม่ควร หรือรับเงินใครมา ก็มีสิทธิตรวจสอบโดยรัฐบาล สาเหตุที่น่าจะทำวงรอบซัก 4 ชั้นเพื่อไม่ให้ใครมีอำนาจเหนือใคร

ยุคเปลี่ยนสมัยเปลี่ยนคนเปลี่ยน มันก็เป็นอย่างนี้กันทุกประเทศ อย่าไปเขียนถึงเรื่องจริยธรรม หรือพยายามบอกให้ใครมีจริยธรรมเพราะมันเป็นไปไม่ได้ เหมือนคนก็ไม่สามารถสอนให้หมามันเห่า เพราะหมามันเห่าเป็นเพียงแต่จะเห่าไม่เห่าเท่านั้น ส่วนคนนั้นรู้อยู่แล้วจริยธรรมคืออะไร พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนกันมาตั้งแต่เด็กแต่เล็ก แต่จะมีจริยธรรมหรือไม่เหมือนหมามันเห่า

วนไปวนมารัฐธรรมนูญไทยต้องบรรจุวิชาศีลธรรมลงไปด้วยหรือ ถามหน่อย

บันทึกวันที่ 22 มีนาคม 2550

สาม สอเสือ