ชีวิตก็เท่านี้
สัปดาห์ก่อน บริษัทมีการจัดงานสัมมนาประจำปี ซึ่งจะเราจะจัดกันทุกปี ช่วงเวลาปิดงบการเงินเสร็จและยื่นงบการเงินเข้าระบบราชการ ประมาณเดือน มิถุนายน ของทุกปี และอีกช่วงเวลาที่สำคัญ เด็กๆ ทุกคน ลูกหลานในออฟฟิศ พากันปิดเทอม จะได้ร่วมกันไปทั้งครอบครัว เวลาที่เหมาะมากคือ ตุลาคม ของทุกปี คงไม่เล่าการจัดสัมมนาบริษัท มีประโยชน์หรือไม่อย่างไร เพราะสามารถค้นหา สืบค้นบนออนไลน์ได้ไม่ยาก
การพบปะถึงแม้ว่าเราจะได้พบกันเกือบทุกวันอยู่แล้ว ในเวลางานบางกลุ่มบางคน แต่ก็มีบางพวกบางฝ่ายเราจะพบกันน้อย เจอกันบนโทรศัพท์ ไลน์ มากกว่าแต่ความใกล้ชิดยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง การสัมมนาจึงถือเป็นเวลาผ่อนคลายไม่มีเรื่องงานมารบกวนสมอง จุดประสงค์หลักของการพบปะกันนอกสถานที่ เป็นครอบครัวใหญ่ คือการได้พบตัวตนกันไม่มีเรื่องงาน เป็นเวลาผักผ่อนไม่มีกิจกรรม ชวนคุยร้องเพลงดื่มเครื่องดื่ม ช่วยดูแลกัน ให้เกียรติกัน นั่นคือจุดประสงค์หลักๆ ที่ผมคิดมานานมากใครอาจคิดว่าไม่สำคัญก็ไม่เป็นไร เพราะต่างคนต่างคิด พื้นฐานความคิดย่อมต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา
ตัวผมเองดื่มเยอะกับพรรคพวกที่เข้ามากรุงเทพฯ ก่อนวันเดินทางหลายวัน ในอดีตเป็นทนายความ ผันตัวไปรับราชการ ไม่บอกว่าประจำอยู่จังหวัดไหน แต่เป็นฝ่ายวินัยราชการ ใกล้ชิด นายก อบจ. ยังขอคำปรึกษาหารือกันเรื่องกฎหมายมาตลอด บางครั้งลูกค้ามีปัญหาเรื่องคดีความ ก็ให้เบอร์โทรขอคำปรึกษา บางครั้งลูกค้าก็เดินทางไปพบที่บ้านพรรคพวกผมเลยในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน ไม่บอกว่าเป็นคดีลักษณะไหนบ้าง
พนักงานเก็บเอกสาร ที่ร่วมดื่มกันด้วยในวันสัมมนา จะเป็นคนดูแลความสะอาด พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตามสไตล์ผม ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้า หรือเจ้าของกิจการ ผมถือเขาเป็นน้อง ผมเป็นพี่ คุยกันสนุกหลายๆ เรื่อง
ตัวผมเองดูแลภาพใหญ่ และรับลูกค้าใหม่ๆ ที่แนะนำกันมาโดยเฉพาะ 3-4 เดือนที่ผ่านมาเยอะมาก ทั้งเปิดบริษัทใหม่ และย้ายมาจากสำนักงานบัญชีอื่น ถ้าเป็นช่วงปลายปีผมมักจะให้คำแนะนำ ถ้าจะย้ายมาให้พวกผมดูแลบัญชี ให้ย้ายมาต้นปีหน้า เพราะถ้าย้ายมาปลายปี พวกผมก็ต้องมาลงบัญชีกันใหม่ ทั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเดือนปัจจุบัน ในเต็มรอบระยะเวลาบัญชี ต้องมาเสียเงินให้ผมอีก ให้สำนักงานบัญชีเดิมลงบัญชีให้เสร็จปิดงบการเงินประจำปีไปก่อน
สำหรับอะไรที่ไม่สบายใจ หรือไม่ได้ดั่งใจของสำนักงานบัญชีเดิม ค่อยมาแก้ไขกันที่หลัง ทุกอย่างมีวิธีทั้งนั้น
การรับลูกค้าใหม่โดยเฉพาะย้ายมาจากที่อื่น บอกตามตรงต้องใช้สมอง การพูดคุยเยอะมาก บางครั้งก็สติหลุดเหมือนกัน เหมือนอะไรต่ออะไรเต็มหัวไปหมด เครียดๆ หมดแรง เดินเซ
ผมนั่งคิด ชีวิตก็เท่านี้ ทำงานมันก็เหนื่อยทั้งนั้น ดีกว่าไม่มีงานให้ทำ ได้ใช้สมองหนักๆ ดีกว่า ไม่มีอะไรให้ต้องคิด พรรคพวกผมถามว่า รับหมดมั้ยลูกค้าผมก็บอกรับหมด ใครแนะนำมาผมรับทำให้ เพราะเคยสัญญากับตัวเอง ใครแนะนำมาต้องรับ ถ้ามาตามโซเชียลจะถามเยอะเพราะโดนหลอกถามบ่อยๆ แล้วเอาความรู้ที่ผมแนะนำไปบอกที่เดิม ตัวผมเองเลยตั้งป้อมว่าไม่รับไว้ก่อน
ช่วงระหว่างสัมมนา มีลูกค้าแนะนำเพื่อนเขา ให้มาพูดคุยกับผม เป็นธุรกิจหนึ่งทำในประเทศจีนแต่อยู่เมืองไทย เพื่อนเขาบอกว่าลองไปคุยกับพี่เขา ไม่รู้ว่าพี่เขาจะรับทำมั้ย พี่เขาอินดี้ ผมบอกปลายสายผมรับหมดถ้าแนะนำกันมา อธิบายงานบัญชีของเขาต้องทำแบบนี้นะ จะถูกกฎหมาย และเสียภาษีตามความจริงลักษณะงาน ไม่ได้เสียภาษีตามที่สำนักงานบัญชีอื่นบอก เขาบอกตามที่แนะนำมาใช่เลย เขาโทรถามมาหลายแห่งไม่เคยได้รับคำตอบ ตอบอะไรบ้างไม่รู้เยอะแยะจนไม่มั่นใจตัวเอง และเครียด การพูดคุยที่ต้องใช้สมองนี่แหละ ทำให้ผมเดินเซ เหมือนใช้สมองเยอะเกิน
ระหว่างสัมมนาสายตาเหลือบเห็นอะไรเขียวๆ ไกลๆ แต่ด้วยความที่สีมันตัดกันพุ่มไม้แห้ง มองด้วยความไม่มั่นใจใช่มั้ย เห็นปลายหัวสะบัดเหมือนงูพบเหยื่อ เลยมั่นใจงูเขียว แน่นอนแต่ไม่ได้สืบค้นว่าเป็นงูอะไรพันธุ์อะไร เลยใช้โทรศัพท์ซูม 10 เท่า ถ่ายเก็บไว้
ยืนคิดตอนนั้น ชีวิตก็เท่านี้แหละ อยู่ กิน พักผ่อน ให้เกียรติ ธรรมชาติ และผู้คน
สาม สอเสือ
บันทึกเมื่อ 21 ตุลาคม 2568
