เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมต้องไปอบรมบัญชี เก็บชั่วโมงตามปกติของนักบัญชีที่ขึ้นทะเบียนกับสภาวิชาชีพ เท่าที่สะดับรับฟังมาตรฐานบัญชี ที่จะใช้บังคับปี 2566 น่าจะมีการเปลี่ยนหลายข้อ
สิ่งที่หนึ่งที่ต้องกลับมาคิด เกี่ยวกับเงินชดเชยผลกระโยชน์พนักงาน ซึ่งก็คือเงินเกษียณอายุของพนักงานตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งได้บังคับบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อย กฎหมายใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาบริษัทต้องกำหนดเกษียณอายุพนักงาน ถ้าไม่ได้กำหนดให้ถือว่า 60 ปีคือการเกษียณ จะมาปล่อยเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เหมือนในอดีตไม่ได้ พอเกษียณก็ต้องมีการชดเชยตามกฎหมาย สูงสุดอายุการทำงานเกิน 20 ปี ต้องชดเชย 400 วันเงินเดือนวันสุดท้ายที่เกษียณ ผมก็เห็นด้วยนะครับถ้าออกเป็นกฎหมายจะได้ชัดเจนไปเลยต้องทำกันอย่างไร
ส่วนภาระของนักบัญชี คือการบันทึกความข้อเท็จจริง และให้สมเหตุสมผลมากที่สุดในงบการเงิน ภาระหนี้สินของสถานประกอบการในอนาคต
เพราะบริษัททั่วไปที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ต้องวางแผนเพราะจำนวนเงินชดเชย เป็นจำนวนมากถ้าไม่ได้เตรียมการ น่าจะกระทบกับเงินสดในบริษัทเป็นสาระสำคัญกันทีเดียว เตรียมการเนิ่นๆ จะไม่กระทบและผมเห็นด้วยว่าควรให้
อีกสิ่งหนึ่งที่มีการพูดกัน อาชีพเฉพาะเขาต้องสอบใบอนุญาตกันทั้งนั้น ทนาย วิศวะ สถาปนิก แพทย์ ทำไมนักบัญชีถึงไม่ต้องสอบ จบมาขึ้นทะเบียนได้เลยเป็นผู้ทำบัญชี ทำให้ขาดศักดิ์ศรีความเป็นนักบัญชี
ผมเองไม่ได้กลัวการสอบ จะสอบก็สอบดีซะอีกจะได้สกรีนนักบัญชี ที่ละเลยการหาความรู้ต่อเนื่อง
ผมคุยกับเจ้าของสำนักอบรม เขาผ่านการพูดคุยหลายท่านเยอะแยะมากมาย
เขาต้องประเด็นว่านักบัญชีทื่เจอ มักจะมองแคบเหมือนม้าแข่งปิดตาด้านข้าง มองทางตรงได้อย่างเดียว มักจะจิตใจคับแคบ
ผมเองไม่สรุปนะครับเพราะเป็นเรื่องที่เขาพูดต่อมา จริงไม่จริงไม่รู้เพราะผมไม่เป็น
แต่เรื่องการสอบเป็นนักบัญชีผมเห็นด้วย จะย้อนหลังหรือเดินหน้าอย่างเดียวก็พร้อมรับกติกา
สาม สอเสือ