2 มกราคม 2560

ลาแล้วครับ

วันสุดท้ายของการเดินทาง มาถึงแล้วกับหลวงพระบาง จะเรียกว่าพลาดเป้าก็ไม่เชิงนักแต่เสียดายไม่ได้ไปนอกเมือง ทั้งๆ ที่ใช้มอเตอร์ไซค์สาเหตุที่ไม่กล้าออกนอกเมือง กลัวหลงเหตุผลหนึ่ง และไม่มั่นใจถนนอีกสาเหตุหนึ่ง

เท่าที่สังเกตถนนในหลวงพระบางลาดยางเฉพาะตามถนนหลัก ส่วนตามซอยไม่มีหวัง มีแต่ลูกรังจะเรียกว่าถนนลูกรังก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะเท่าที่เห็น จะเป็นหินใหญ่ๆ เหมือนระเบิดภูเขามาก้อนเท่าหัวคนไม่เรียบขนาดลูกรังในเมืองไทย ก็อย่างว่าเท่าที่ผมเดาใครจะลงทุนสร้างถนนตามซอยให้ชาวบ้านกับรัฐบาลเผด็จการ (เกี่ยวมั้ยนี่)

ถนนในหลวงพระบางไม่เหมือนในเมืองใหญ่ ในไทย ถ้าเทียบเอาแบบลำพูนก็พอไม่ต้องถึงกับเชียงใหม่ แต่ละบ้านหมู่บ้านเขาก็มีโครงการ พร้อมโฆษณาสรรพคุณสาธารณูปโภคพร้อม นั่นก็คือน้ำ ไฟ ถนนลาดยางปูพื้นให้ด้วย คงไม่ต้องนับนอกเมืองของเมืองไทยนะครับเพราะสภาพคงพอๆ กันแต่นี่เป็นตัวเมืองหลวงพระบาง ห่างเมืองไม่เกิน 3-4 กิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่ถนนซอยยังคงอุดมไปด้วยลูกรัง

ผมมาคืนมอเตอร์ไซค์ ประมาณ 9 โมงเช้า คนขับรถของรีสอร์ท (คนละคนที่เคยนัดกันไว้ว่าจะมารับไปเที่ยว) คนขับรถบอกจะเอารถไปรับหลังคืนมอเตอร์ไซค์ โดยผมไม่เอ่ยอะไรเลย ผมเรียกน้ำใจในการบริการ เขาบอกตำแหน่งแล้วแต่ผมไม่เข้าใจ ผมฟังภาษาอีสานรู้เรื่องนะครับ แต่ภาษาหลวงพระบางฟังแล้วงง ขับมอเตอร์ไซค์วนไปทั่วที่เขาบอกหาชื่อร้าน ตำแหน่งที่จอดรถ ผมฟังไม่รู้เรื่องว่าร้านอะไร มารู้ตอนรถมารับแล้วต้องวนไปรับแขกอีกคนเป็นชาวญี่ปุ่นที่ต้องกลับรีสอร์ทเช่นเดียวกัน จุดจอดรถอยู่ตรงข้ามโรงเรียนประถม เป็นร้านกาแฟ กลางเมืองหลวงพระบาง ผมผ่านทุกวันแต่ไม่รู้ร้านอะไร เห็นแต่โรงเรียนประถม

ย้อนกลับมาช่วงคืนรถ หลังจากเอามอเตอร์ไซค์คืนร้านเช่า คนรถบอกจะไปรับด้วยความที่ไม่รู้และสื่อสารกลัวผิด และอีกอย่างอยากเดินเล่นซักพัก เปลี่ยนมุมมองจากขับมาเดิน ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวผมโทรให้ไปรับดีกว่า เดินดูบรรยากาศรอบข้างบ้าง ใช้มอเตอร์ไซค์ไม่กล้ามองเยอะกลัวรถชนตูด

ผมเดินมาไม่ไกลนักมาถึง สี่แยกทางเข้าตลาดมืด แต่ยังเช้าอยู่ด้วยความที่ผ่านจุดนี้ทุกวันไม่รู้จะเดินไปไหนดี ก็เลยโทรหารถของรีสอร์ทว่ายืนอยู่ตำแหน่งไหนให้รถมารับ ตามทางเดินสังเกตมีร้านเล็กร้านน้อยไม่ขายเฝอ (ก๊วยเตี๋ยว) ก็ขายขนมปังที่ผ่ากลางเอาหมูสับผัดราดไปตรงขนมปัง ผมไม่รู้ว่าเขาขายเหมือนๆ กันเพื่ออะไรคนท้องถิ่นเขากินหรือ หรือนักท่องเที่ยวกิน ผมเดินดูแต่ไม่กล้าถ่ายภาพ กลัวแม่ค้าเขาว่าไม่ซื้อแล้วยังไม่ถ่ายภาพอีก

รถมารับกลับถึงรีสอร์ท พี่ตุ๋ย ผจก.รีสอร์ท ขอเลี้ยงข้าวเที่ยงมื้อกลับเป็นการลาอย่างเป็นทางการ พี่เขาสั่งอาหารมาให้กินรอบนี้อร่อยครับเผ็ดสไตล์อาหารไทย

ส้มตำปลาร้า แต่ผมไม่ชอบมะละกอเขาใช้สไลด์มาบางๆ เป็นแผ่นก็เลยไม่กรอบเหมือนกินเส้นใหญ่แต่เหนียว

มีแจ้วปลาร้าใส่มะเขือเทศลูกเล็กผมเรียกมะเขือสีดา แล้วก็ต้มจืดหมูสับ กับผักอะไรไม่รู้เห็นเรียกกันว่า ผักน้ำ กินง่ายไม่มีกลิ่น ไม่ว่ากินแบบสด หรือกินแบบสุก

ลืมไปก่อนถึงอาหารเที่ยงผมถือโอกาสไปกระโดดน้ำสระ ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ฝรั่งนอนอาบแดดอยู่เขามอง คงแปลกใจลงน้ำทำไมอากาศเย็นแบบนี้ เวลาว่ายน้ำต้องระวังตัวเองเหมือนกัน โดยเฉพาะตำแหน่งน้ำลึก กลัวเป็นตะคริวเพราะสระไม่มีไลฟ์การ์ด ถ้าจมน้ำเพราะตะคริวก็คงจมเลยไม่มีใครช่วย ว่ายอยู่ 2-3 รอบจนตัวชาก็ขึ้นจากน้ำ เพราะหนาวมาก พอขึ้นมาก็อุ่นเพราะอากาศเย็นน้อยกว่าน้ำในสระ

ช่วงบ่ายสอง ผมขอไปรอสนามบินเพื่อเตรียมตัวกลับไทย พี่ตุ๋ย บอกว่าจะรีบออกไปทำไม ผมเองก็เกรงใจ ถ้าอยู่ต่อพี่เขากับพนักงานก็ต้องคอยดูแลอีก ถึงแม้ว่าจะไม่มีแขกใหม่เข้าเช็คอิน พี่เขาให้อยู่จนกว่าจะออกจากรีสอร์ท ผมออกจากรีสอร์ทบ่าย 2 ครึ่งคืออยากไปสนามบินแบบไม่เร่งรีบมากนัก อยากดูข้างทางเพราะตอนขามามันมืดค่ำมองอะไรไม่เห็น ถึงสนามบินบ่าย 3 ผมไม่รู้ว่าคนขับ ขับอ้อมให้ผมเห็นเมืองมากขึ้นหรือเปล่า แต่ก็สนุกดี

พอเข้าเช็คอินโหลดกระเป๋าเดินทาง ฝรั่งหันมาบอกเลทวันอาว คือ เครื่องดีเลย์ 1 ชั่วโมง จาก 5.20 น. กลายมาเป็น 6.30 น.

เอาไงดีวะเหลือเวลา 3 ชั่วโมงกว่า และนัดพรรคพวกช่วยมารับที่สนามบินสุวรรณภูมิด้วย นัดเวลาไว้แล้ว ยังดีสายการบินบางกอกแอร์เวย์เขามีเลาท์ให้นั่งพัก และมีไวไฟให้ใช้ ก็เลยไลน์บอกพรรคพวกนัดเวลากันใหม่ ไม่ต้องรีบออกมารับจากบ้าน

ก็ถือว่าจบได้สวยมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิเดินช็อปปิ้งดิวตี้ฟรี ขนขนมเยอะมากเป็นของฝาก เดี๋ยวนี้ขาเข้าประเทศไม่ต้องแสตมป์พาสปอร์ตเข้าประเทศ เหมือนสมัยก่อน ปัจจุบันต้องไปยืนในช่อง autogate ออโต้เกท มีกล้องถ่ายภาพหน้าเรา และนิ้วมือแตะสแกนก็เรียบร้อย ออกไปรอรถด้านนอกอาคาร ช่วงค่ำเครื่องบินคงเข้าพร้อมกันเยอะ นักท่องเที่ยวเพียบรถเพียบ รถผมมาถึงแล้วก็ขนของขึ้นรถกลับบ้าน

ถือว่าจบทริปการเดินทางปีใหม่

มีโอกาสจะมาเล่าสู่กันฟัง สวัสดีปีไก่

สาม สอเสือ