8 พฤศจิกายน 2560


เที่ยวปีนัง จอร์จทาวน์ ตอน 1
24 ตุลาคม 2560

เจอเพื่อนคนไทย

เป็นการไปเที่ยวแบบเร่งด่วนมาก ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ใช้เวลาเตรียมเดินทางไม่ถึง 2 สัปดาห์ การไปครั้งนี้พาเด็กๆ ไปเที่ยวด้วย ก็มีปัญหาสิครับการพาเด็กรุ่นเยาว์ไปนอกประเทศ แล้วไม่ใช่พ่อแม่ไปด้วย หาข้อมูลสิครับไปไงหว่า

จริงๆ ตอนนั้นก็จนปัญญาเริ่มจากไหนดี ผมถามในสังคมออนไลน์ ได้รับคำตอบว่าที่สวิสเซอร์แลนด์ ต้องไปขอที่สถานีตำรวจ เออ…ใช่ของไทยมันต้องมีหน่วยงานราชการซักแห่งรับรองแน่ๆ แต่ที่ไหนหล่ะ

ลืมไปจริงๆ มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งทำงานสายการบิน เอาวะลองถามผ่านไลน์เพราะเขาก็ไม่อยู่ในไทยขณะนั้น ได้รับคำตอบว่าต้องไปที่สำนักงานเขต คราวนี้หอบกันไปทั้งพ่อ แม่ เด็กๆ 2 คน รวมทั้งผม แล้วก็เตรียมหลักฐานที่มีทั้งหมด สูติบัตร พาสปอร์ต ทุกคนทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน พร้อมสำเนาทุกคน

ถ้าจำไม่ผิดไปที่ฝ่ายปกครองของสำนักงานเขต เจ้าหน้าที่ดูเอกสารหอบใหญ่ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าทำเรื่องให้ไม่ได้เพราะพ่อแม่ ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่ลาดพร้าวทำเรื่องที่นี่ไม่ได้ ต้องไปทำเรื่องที่ภูมิลำเนาอยู่ตามทะเบียนบ้าน เอาซิ เอาไงวะตั๋วเครื่องบินก็มีแล้ว โรงแรมก็จองแล้ว รถก็จองไว้แล้ว

ตัดสินใจเอาวะโอนทะเบียนบ้านปลายทางเข้าทะเบียนบ้านผมที่ลาดพร้าว โชคดีผมเป็นเจ้าบ้านก็เลยง่าย เราเดินไปฝ่ายทะเบียนของเขตซึ่งอยู่ชั้นล่าง โอนย้ายภูมิลำเนาทั้ง พ่อ และ แม่ เข้าบ้านผม แล้วก็ขึ้นไปชั้น 2 ทำเรื่องที่ฝ่ายปกครองใหม่ ก็เรียบร้อยแทบจะนาทีสุดท้ายก่อนสำนักงานเขตปิด

หลังจากนี้เอาไงต่อ มีคนแนะนำว่าต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ เราก็ให้พรรคพวกแปลแล้วก็ไปทำเรื่องที่กรมการกงสุล ประทับตรารับรอง ในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะต้องรอ 2 วันร้องเฮ้ย ไอ้ 2 วันที่บอกมันเป็นวันบินแล้ว เอาไงดีหล่ะคราวนี้มีคนรับแปลเอกสารอยู่บริเวณนั้น เขาแนะนำเดี๋ยวแปลให้ใหม่ และเอาสูติบัตรมาแปลด้วย….เอาก็เอา ใช้ หรือ ไม่ใช้ ก็ต้องติดตัวไว้ก่อนใช้เวลาไม่นานนักขณะนั้นเกือบบ่าย 4 เอกสารแปลมาเรียบร้อย มีเบอร์โทรศัพท์ของผู้แปล และสถานที่ติดต่อตราประทับสถานที่แปลดูแล้วมีมาตรฐานหน่อย

วันไปก็ให้พ่อแม่เด็กไปส่งรอจนกว่าพวกผมจะผ่าน ตม. สุดท้ายเจ้าหน้าที่ไม่ดูซักใบ คือไม่ดูอะไรเลย แถมเด็กไม่ต้องสแกนนิ้วด้วย เพราะปกติผู้ใหญ่ต้องถ่ายภาพใบหน้า และสแกนนิ้วผ่าน ตม. เด็กถ่ายภาพใบหน้า แต่ไม่ต้องสแกนนิ้วอาจเป็นเพราะเด็กเล็กมือไม่ถึง ผมงง พร้อมกับหัวเราะเออดีไม่ต้องดูอะไร ก็เลยโทรบอกพ่อแม่เด็ก ผ่านเรียบร้อยกลับบ้านได้

พวกเราใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงกว่าเกือบ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาประมาณ 13.30 น.ตามเวลาของปีนัง ที่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ต้องออกตัวก่อน ผมเคยมาปีนังแล้ว 2 รอบแต่ก็ทิ้งระยะไปเกือบ 20 ปี 2 ครั้งนั้นไปทำงานก็เลยไม่ได้ไปไหน อาศัยเท้าในการเดินทางไปได้ใกล้ๆ ส่วนครั้งนี้ใช้วิธีเช่ารถ พรรคพวกที่ปีนังเขาติดต่อเช่ารถไว้ให้ โดยผมไปทำใบชับขี่ระหว่างประเทศ เสียเงิน 500 บาทมีอายุ 1 ปี ที่กรมขนส่ง เพื่อขับรถเที่ยวในเมืองจอร์จทาวน์ เมืองเล็กๆ ผู้คนแออัดแต่ก็มีมุมมองแบบที่เราไม่เคยเห็น (ไว้ค่อยเขียนและเอาภาพมาโชว์)

พอไปถึงพรรคพวกก็มารับที่สนามบิน ผู้ชายชื่อไบรอัล เป็นคนจีนมาเลย์ พูดไทยไม่ได้ผมเองภาษาอังกฤษระดับโลว์คราส แค่พอได้นิดหน่อย ส่วนพรรคพวกผู้สาวภรรยาชื่อ เลี้ยง หน้าตาสะสวยเป็นคนอีสานช่วยได้เยอะในการเจรจา ผมนึกย้อนสมัยก่อนมาทำงานก็พอพูดได้แหละภาษาอังกฤษทิ้งไป 20 ปีไม่รู้จะคุยกับใครลืมไปหมดเสียดาย ว่ากลับเมืองไทยจะรื้อฟื้นภาษาอังกฤษอีกซักรอบเพราะโอกาสหน้าไปอีกแน่

ก่อนไปก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่าอาหารจะไม่ถูกปาก เพราะเป็นคนกินน้ำปลา และก็เผ็ด พ่อของเด็กๆ ตำน้ำพริกปลาร้า กับ แจ่วบอง 2 กระปุกใหญ่ไปฝาก น้องเลี้ยง ที่ปีนัง ผมเลยแบ่งไว้กล่องเล็กๆ ไว้ 2 กล่องพอประทังอาหารเช้าของโรงแรมแน่นอน อย่างน้อยอาหารฝรั่ง อาหารอิสลาม ผมก็มีน้ำพริกปลาร้าช่วย แถมเอาผักสลัดมาแนมก็คงพอไหว

ไบรอัน กับ น้องเลี้ยง ขับรถพาคณะของผมไปกินอาหารฝรั่งในห้างสรรพสินค้าเล็กๆ พวกซุปข้น สปาเก็ตตี้ สเต๊กปลา อะไรประเภทนี้อาหารแบบนั้นผมกินได้นะ แต่ก็ไม่เยอะกินพอสนุก ทำแบบสนุกแล้วมากินพอไหว ผมเองไม่รู้ว่าเป็นคนกินยากหรือเปล่า แต่ถ้าอยู่เมืองไทยกินได้ทุกอย่าง สรุปไม่ถูกปากเหมือนที่เคยมา 2 ครั้งแรก แต่สิ่งที่ผมคอยสังเกตุคือเรื่องการจอดรถ ในปีนัง จ่ายเงินแบบไหนจอดแบบไหน ไม่ว่าตามห้างสรรพสินค้า หรือ ตามขอบถนน ผมจะถามเยอะหน่อย ผมถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่อยากมีปัญหากับตำรวจต่างบ้านต่างเมือง

หลังจากกินเสร็จ ไบรอัน กับ น้องเลี้ยง ไปส่งผมที่โรงแรม ซึ่งอยู่กลางเมืองจอร์จทาวน์ติดทะเล เข้าห้องพักและไปทำสัญญาเช่ารถ ได้รถนิสสันอัลเมร่า อีโคคาร์ ตอนนั้นยังงงกับค่าเงิน คือแลกมา 8.82 บาทเท่ากับ 1 ริงกิตมาเลเซีย คิดคร่าวๆ ตกวันละพันนิดหน่อย รวมต้องจ่ายเงินประกันไว้ด้วยอีก 300 ริงกิต เวลาคืนรถไม่ต้องเติมน้ำมันคืนเต็มถัง เหมือนเช่ารถในเมืองไทย วันนี้ ไบรอัน บอกไม่ต้องขับนะเริ่มพรุ่งนี้ ให้ผมติดรถไปด้วยไปที่คอนโดฯ ที่เขาพักใกล้กับสนามบินวิวสวยอยู่บนเนินเขา ห่างจากโรงแรมที่ผมพักพอสมควร น้องเลี้ยง จะไปขับรถอีก 1 คัน จะได้ไปรับลูก 2 คนเพื่อให้มีที่นั่งพอ ผมนี่เกรงใจมากแต่ไม่รู้ทำอย่างไรเพราะน้องเขาก็ดีใจมากที่เรามา

ไบรอัน และเลี้ยง ชวนไปกินอาหารจีนอีกครั้งเป็นอาหารเย็นมากันครบทั้งหมด 8 ชีวิต ที่ห้างควีนเบย์มอลล์ ภัตตาคารดราก้อน เราสั่งอาหารกันหลายอย่างโดยส่วนใหญ่ผมจะสั่งซุปแบบจีน ผมว่าน่าจะพอกินได้ สรุปไม่อร่อยเหมือนเดิมเขาใส่ผักกาดดองเกือบทุกอย่าง มื้อนี้เขาเลี้ยงอีกผมว่าหลายพันบาทอยู่ ผมบอกว่าถ้าแบบนี้ผมไม่กินด้วยแล้วนะ ถ้าไม่ให้ผมออกเงิน เขาก็บอกไม่เป็นไรเขาเป็นเจ้าบ้าน เดี๋ยวมากรุงเทพฯ ให้ผมพาเที่ยวพากิน ผมก็บอกว่าไม่เอา มากรุงเทพก็ว่ากันใหม่ เรื่องกินที่นี่ก็ว่าไป ผมจ่ายบ้างไม่ต้องเลี้ยงผม สรุปก็โอเค บอกกับแฟนเขา

ขากลับไปเดินซุปเปอร์หวังจะได้บะหมี่สำเร็จรูปให้เด็กๆ เพราะอย่างน้อยโรงแรมก็มีกระติดน้ำร้อน แล้วไปดูด้วยเขาขายอะไรแบบไหน สรุปว่าบะหมี่ไม่มีรสที่เขาอยากกิน คือประเภทหมูสับ อีกอย่างที่สำคัญมากแก๊สกระป๋อง ผมเตรียมเครื่องครัวกระเป๋าเล็กๆ ไปด้วยโดยเฉพาะเตาแก๊สเล็กเท่าฝ่ามือ แก๊สกระป๋องผมเอาขึ้นเครื่องไม่ได้ เลยต้องหาซื้อปลายทาง สรุปเดินหาไม่มี มีแต่น้ำปลา และผักสด ขาย เลยไม่ได้ซื้อกลับโรงแรม

อย่างน้อยถ้ามีแก๊สกระป๋อง มีไข่เจียวกินแน่ๆ พวกเห็นแก่กิน สวัสดี

สาม สอเสือ