กินปลาริมโขง เที่ยวปราสาทหินวัดพู วัดพูเสล่า 12 เมษายน 2561

กว่าจะเขียนตอน 2 ได้ติดภาระกิจเยอะแยะไปหมด ทั้งเรื่องงานประจำเกี่ยวกับบัญชี และการปรับระบบคอมฯ ของออฟฟิศ ยุ่งวุ่นวายพอสมควร นอกจากนั้นยังหาเวลาเอาสมองไปนั่งอ่านหนังสือปรับระบบ เว็บไซต์ใช้ wordpress เขียน เพื่อจะให้ใช้กับโทรศัพท์มือถือ จะได้อ่านสะดวก ด้วยความที่ไม่มีความรู้ทางด้านนี้ก็เลยใช้สมองเยอะหน่อย จนวันที่เขียนยังไม่สำเร็จ หรือสำเร็จไม่ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ เลยยังไม่มีการอัพโหลดข้อมูลเว็บไซต์รูปแบบใหม่

เช้าวันนี้ตื่นมาทานอาหารเช้าของทางโรงแรม มีของถูกใจเนื้อทอด มีโอกาสไปพักโรงแรมมาหลายแห่งไม่เคยเจอ โดยเฉพาะในเมืองไทย อาจจะเป็นเพราะคนไทยทานเนื้อวัวกันน้อยลง หรือเปล่าไม่รู้ สายๆ มีนัดกับรถตู้ที่จะพาคณะของเราเที่ยว ถึงมีรถไปเองก็ไม่กล้าขับเองเพราะกลัวหลง ข้อมูล GPS ทางมือถือ google map ยังเชื่อถือไม่ได้ในประเทศที่ยังไม่เปิดกว้างมากนัก

รถตู้มารับก็เกือบเที่ยง อาหารเช้าที่อยู่ในท้องก็ทำหน้าที่ของมันเรียบร้อยจนรู้สึกหิว เริ่มต้นการท่องเที่ยวด้วยการไปหาอาหารกินกันก่อน บอกให้คนขับรถพาไปเลยที่ไหนก็ได้ อยากได้อาหารประเภทปลาแม่น้ำโขง ช่วงที่คณะของเราไป ริมโขงไม่ค่อยสวย เพราะมีการทำผนังกั้นน้ำ ตลิ่ง ปรับภูมิทัศน์ริมโขง หิน ทราย ปูน เหล็ก คละคลุ้ง

เราเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยเมนูปลา สั่งไปเยอะเหมือนกันร้านอาหารเป็นร้านเล็กๆ ไม่ได้น่ารักเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวเพราะอยู่ในเมือง เป็นที่กินข้าว เป็นเพิงสังกะสีความร้อนของอากาศเที่ยง ทำให้อาหารต้องรีบกิน

ชื่อร้านนกเขาขัน เขาบอกว่าปลาทั้งหมดซื้อมาจาก น้ำตกคอนพะเพ็ง เสน่ห์ลาวใต้ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเปล่า หรือเป็นการเรียกราคาเนื้อปลาบนโต๊ะอาหาร สิ่งที่พวกเราสั่งก็มี พวกปลาคัง ปลาเนื้ออ่อน ต้มบ้างทอดบ้าง แต่ไม่คาวนะครับถือว่าสมคำร่ำลือ แต่จะมีมันปลาเยอะสำหรับคนไม่ชอบกลิ่นปลาคงไม่ชอบ เพราะกลิ่นน้ำมันปลาเยอะ ยิ่งเครื่องเทศไม่พอดับกลิ่นยิ่งไปกันใหญ่

ช่วงบ่าย 2 รถตู้พาคณะเราไปเดินตลาด เขาบอกว่าถ้าไปสถานที่ท่องเที่ยวเลยจะร้อนมาก เพราะไม่มีร่ม เราแวะมาตลาดใหม่ปากเซ ของคุณนายดาวเรือง เจ้าของกาแฟดาว ผมว่าเขาคุมธุรกิจเกือบทั้งหมดในลาว เพราะมีธุรกิจเยอะมาก

ตลาดดาวเรืองจะว่าเป็นตลาดสดก็ใช่เพราะมีโซนขายของสด มีทั้งขายของใช้ในครัวเรือน เสื้อผ้า ที่สำคัญมีขายทองรูปภัณฑ์ด้วย แต่ละตู้เขาจะวางเงินกีบเป็นปึกๆ อยู่ในตู้ทอง เทียบราคาแล้วก็ไม่เท่าไหร่ เช่นปึกเงินกีบใบละ 500 จำนวน 100 ใบ ก็แค่ประมาณ 200 บาทแต่มันดูตื่นเต้นเมื่อคิดถึงเงินไทย แบงค์ 500 เป็นปึก

ที่น่าสนใจคือ ร้านขายทอง ขายในตลาดไม่มีการป้องกันมากมายนัก ไม่เหมือนเมืองไทย ผมว่ากฎหมายที่นี่ค่อนข้างแรง โจรคงคิดหนักเพราะเป็นประเทศเผด็จการเต็มรูปแบบ จับได้ผมว่าตายติดคุกคงน้อย

เวลาบ่าย 3 ครึ่ง พวกเรามาถึงปราสาทหินวัดพู เป็นโบราณสถานสร้างในสมัยเขมรรุ่งเรือง เขาว่าน่าจะสร้างก่อน นครวัดนครธม ช่วงเวลาไปนักท่องเที่ยวไม่เยอะมาก ทำให้สะอาดตา ปราสาทหิน ตั้งตะหง่านอยู่ตีนเขา สวยไปอีกแบบ สำหรับคนชอบทัศนียภาพโบราณสถาน และมีการดูแลค่อนข้างดี สถานที่นี้ได้มรดกโลกแห่งที่ 2 ของลาว ไม่ได้สืบค้นว่าแห่งแรกที่ไหน น่าจะเป็นหลวงพระบางมั้ง

คณะของเรามาถึง รถตู้บอกให้ผมจ่ายตำรวจก่อน เป็นเงินกีบ ราคาไทย 200 บาท แต่ถ้าควักบาทต้องจ่าย 300 บาท ไม่รู้ค่าอะไรแต่ก็อย่างว่าเงินเหล่านี้เหมือนค่าน้ำร้อนน้ำชา ซึ่งจะจ่ายกันปกติในลาวเท่าที่สัมผัสมาหลายแห่ง และจากคนไทยที่ทำธุรกิจอยู่ในลาวบอกเล่า ครั้งไปหลวงพระบาง

ค่าเข้าชมคนละ 50,000 กีบก็ประมาณ 200 บาท ไปเที่ยวลาวควรแลกเงินกีบนะครับ ถ้าใช้เงินไทยจะแพงกว่านี้ มีสถานที่แลกเงินอยู่ทั่วไปหมด ไม่ต้องกังวลว่าไม่มีเงินกีบใช้ อย่างตอนเดินเที่ยวตลาด ผมก็ซื้อ ชาโออิชิเย็นดื่มเพราะอากาศร้อนมาก ถ้าจ่ายเงินไทยก็ 35 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินกีบคำนวณแล้ว 26 บาทถูกกว่า 9 บาท

ช่วงเวลา 5 โมงครึ่ง เราย้ายคณะมาอีกวัด อยู่ใกล้ตัวเมืองอยู่บนภูเขา ชื่อวัดพูเสล่า ถนนคอนกรีตถือว่าดีพอสมควร คนรถบอกว่าถนนพวกลูกศิษย์ช่วยกันลงเงินสร้าง น่าจะหลายสิบล้านอยู่ทั้งความยาวและความชันของภูเขา

จุดชมวิวคือ พระพุทธรูปใหญ่ หันหน้าออกแม่น้ำโขงเข้าฝั่งเมือง ทำให้ได้วิวสวยยามเย็น เราเสร็จภาระกิจการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้ ก็ให้รถตู้ไปส่งโรงแรมแยกย้ายกันพัก นัดกันว่า ซัก 3 ทุ่มออกไปหาอะไรกิน โดยขับรถเอง

ยังจับทางไม่ถูกว่าไปตรงไหน ใช้ตระเวณเอาขับวนหลงเมือง จนมาผ่านร้านสบายดีปากเซ อยู่กลางเมืองมี 2 ร้านอยู่ตรงข้ามกัน พวกผมไม่รู้หรอกว่าควรกินร้านไหน อาศัยตอนจอดรถแวะซื้อของกินติดมือ แล้วก็ถามแม่ค้าว่า ร้านไหนอร่อยราคาเป็นกันเอง เจ้าของพูดไทยได้สำคัญมาก ลูกสาวน่ารักมากอัธยาศัยดี อาหารมีทั้งไทย และยุโรป รสชาติถือว่าใช้ได้สำหรับคนกินอาหารรสจัด

เช็คราคาแล้วเป็นมิตรจริงๆ สำหรับนักท่องเที่ยว ขอบคุณ

สาม สอเสือ