สมุนไพรต้านหวัด
ในฐานะคนบัญชี และทำงานเกี่ยวกับสำนักงานบัญชี ก็มีกิจกรรมที่ต้องเดินทางไปตามสถานที่ราชการบ่อย หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาผมไปบ่อย แล้วพบบางแห่งจะมีเจ้าหน้ายืนถือเครื่องมือตรวจความร้อนคนที่มาติดต่อราชการ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่ก็มีแว๊บ ๆ เหมือนกันทำไมหวัด 2009 ในเมืองไทยมันเงียบไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันยังไม่หมด แต่ไม่รู้ว่าระบาดขนาดไหน เห็นว่ามีการไม่ให้ข่าวเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก
วันก่อนดูข่าวต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาออกมายอมรับ ไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันหวัด 2009 ได้ทัน ผมไม่ค่อยเข้าใจข่าวนี้เท่าไรนัก คำว่าไม่ทันกับคำว่าไม่ได้ผลใกล้เคียงกันหรือไม่
อีกข่าวบอกว่าหวัด 2009 ระบาดอีกแล้วในสหรัฐอเมริกา เริ่มมีคนป่วยเพิ่มขึ้น แต่ข่าวไม่ได้บอกว่าตายเท่าไร ผมดูแล้วก็ผ่านเลยไป
วันนี้นั่งอ่านหนังสือนิตยสารเล่มเก่า เขียนเรื่องสมุนไพรไทยต้านหวัด 2009 ต้องมีรสขม จืด เย็น คราวนี้ตาลุกวาวทันที
ก็ในเมื่อหวัด 2009 มันยังไม่หมด หรือยังไม่มียารักษาสำหรับประเทศไทย เพียงแต่ข่าวเงียบไป แต่สถานการณ์ไม่รู้ไปถึงไหน ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า
ผมนั่งนึกว่าเช้านี้ผมจะหาผักอะไรป้องกันหวัดดี นึกไม่ออกจืด กับ เย็น ว่ามันเป็นผักสมุนไพรประเภทไหน นึกได้แต่รสขม ผมตรงไปร้านขายปลาดุกย่าง เพราะอยากกินสะเดาน้ำปลาหวาน เพราะรู้ว่าสะเดานี่ขมแน่ ส่วนฟ้าทะลายโจร กับ บอระเพ็ด ดูแล้วไม่ใช่ผัก แต่ผมก็ต้องพลาดหวังเพราะวันนี้ร้านปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวานไม่ขาย อย่ากระนั้นเลยต้องมีผักติดมือกลับบ้านสักหน่อย เลยซื้อขิงอ่อนมากิน ไม่รู้ว่าผักชนิดนี้อยู่ในประเภทไหน ขม จืด หรือ เย็น
รีบกลับมาค้นหาในอินเตอร์เน็ตทันทีว่าสมุนไพรประเภทไหนมีรส ขม จืด เย็น
ตัวอย่างสมุนไพรไทยที่มีสรรพคุณในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัด ดังนี้
– กระเทียม มีสาร “อัลลิซิน” (allicin) ซึ่งมีกลิ่นฉุน ฆ่าเชื้อได้ ส่วนกระเทียมโทน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดีกว่า “เพนนิซิลลิน” และ “เตตร้าซัยคลิน” ที่เป็นยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของท้องเสีย แผลติดเชื้อ วัณโรค ไทฟอยด์ และกลากเกลื้อน
– ขิง มีสารประกอบให้รสเผ็ดอร่อยอย่าง “จินเจอรอล” และ “โชกาออล” ช่วยบรรเทาหวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถนำมาปรุงผ่านความร้อนหรือรับประทานสด นอกจากนี้ยังบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย
– มะขามป้อม ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม มะขามป้อมมีวิตามินซี 276 มิลลิกรัม สามารถนำเนื้อผลแห้งหรือสดมารับประทานเพื่อขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ ถ้านำผลแห้งมาต้มดื่มจะช่วยแก้ไข้
– กะหล่ำปลี ถ้าดิบจะมีวิตามินซีสูงที่สุด โดยเฉพาะกะหล่ำดาว 1 ถ้วย มีวิตามินซีถึง 97 มิลลิกรัม แถมยังมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ได้ โดยรับประทานได้ทั้งสดและปรุงสุก แต่ไม่ควรกินแบบสดๆ ในปริมาณมากๆ เพราะสาร “กอยโตรเจน” (Goitrogen) จะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายขาดไอโอดีน หากปรุงสุก สารกอยโตรเจนจะสลายไป
– ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในการบรรเทา และรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งเคยมีการศึกษาระบุถึงประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด ต่อมทอนซิลอักเสบ มีคุณสมบัติแก้ไข้ และต้านการอักเสบ เนื่องจากมีสาร “แอนโดรกราโฟไลด์” เป็นส่วนประกอบสำคัญ
– พริก มีวิตามินซีและสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดที่เรียกว่า “แคปไซซิน” (Capsaicin) ช่วยบรรเทาให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น และโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังลดลง
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการสร้างสาร “ไนตริกออกไซด์” ที่ช่วยขยายและเสริมสร้างความแข็งแรงให้หลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วย
ส่วนผมเลือกจะรับประทานประเภทผักมากกว่า เพราะหาง่ายใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ไม่ต้องยุ่งยากในการหา และเตรียม
อาหารที่จะแนะนำแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ซึ่งมีให้เลือกมากมายหลายชนิด
อาหารที่ช่วยเสริมให้อิมมูซิสเต็ม แข็งแรง อาหารกลุ่มนี้มีสารแอนติออกซิแดนต์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี วิตามินอี และไลโคปีน นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ และวิตามินดี โอเมก้า-3 โฟเลต โปรตีน แมกนีเซียม และสังกะสี
อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ กระเทียม ฟักทอง เห็ดต่างๆ หอมหัวใหญ่ แครอท ผักใบเขียวเข้ม บรอกโคลี ผักโขม น้ำเต้า มันเทศ แคนตาลูป ผลไม้ตระกูลส้ม มะม่วง สับปะรด แตงโม อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหินมะพานต์ ถั่วลิสง ชาเขียว
อาหารที่ทำหน้าที่ต้านไวรัส ได้แก่ แอ๊ปเปิ้ล กะหล่ำปลี กระเทียม มะนาว หอมหัวใหญ่ พริกขี้หนู ลูกพรุน น้ำผึ้ง
อาหารที่ช่วยลดอาการ และเพิ่มความทนทานต่ออาการไข้หวัด ได้แก่ กระเทียม พริกขี้หนู น้ำส้มคั้นสด น้ำมะนาวคั้นสด น้ำมะเขือเทศ ขิง ชาเขียว และวิตามินซี
เราเลือกทานผักผลไม้สมุนไพรต้านหวัด ด้วยการทำให้ร่างกายแข็งแรง ดีกว่ารอให้เป็น เพราะชั่วโมงนี้ ต้องรักษาตัวเองให้ดี เมืองไทยขณะนี้ตัวใครตัวมัน
ข้อมูลมาจากหลายแหล่งขอบคุณไม่ถูกว่าของใครบ้าง แต่ขอให้ทุกคนได้บุญก็แล้วกัน
บันทึกไว้ 22 ตุลาคม 2552
สาม สอเสือ