ขายสินทรัพย์ของบริษัท

มีบริษัทแห่งหนึ่งโทรเข้ามาสอบถามที่สำนักงานบัญชีเอ็นเอสเบสท์ เกี่ยวกับ เลิกบริษัท และชำระบัญชี โดยผ่านเลขาฯ ที่เป็นคนไทยซึ่งได้โทรสอบถามมาหลายแห่ง มีหลายประเด็นในการตั้งคำถาม ทั้งเรื่องราคา ระยะเวลา และจะมีวิธีการจัดการกับสินทรัพย์บริษัทอย่างไร หลังจากที่มีการโทรสอบถามกันหลายครั้งหลายหน ทางบริษัทลูกค้าตัดสินใจให้ทางผมทำการให้

เหตุที่ได้งานนี้ดูเหมือนว่าหลังจากที่มีการโทรสอบถามหลายที่ ที่เอ็นเอส เบสท์ ให้ข้อมูลเคลียร์มากที่สุดตามที่ลูกค้าศึกษาเรื่องบัญชี และภาษีมาบ้าง ไม่ได้เชียร์ตัวเอง แต่ลูกค้าบอกมาอย่างนั้นจริง ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าที่อื่นให้ข้อมูลอย่างไร เพราะโดยส่วนใหญ่ก็ให้ข้อมูลตรงไปตรงมาจะมาเป็นลูกค้าที่นี่ก็ได้ ที่ไหนก็ได้เหมือนกัน

รายละเอียดการเลิกก็จะบอกถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องภาษี ซึ่งจะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนการจดเลิกบริษัท และแต่งตั้งผู้ชำระภาษี เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมาภายหลังโดยเฉพาะประเด็นของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ทุกอย่างควรจะเป็นไปตามประมวลรัษฎากร หรือกฎหมายภาษี

เรื่องที่มีการให้ข้อมูลขัดแย้งกันบ้างกับสำนักงานบัญชีอื่น ตามที่ผมได้พูดคุยกับลูกค้า คือการขายสินทรัยพ์ของบริษัท ซึ่งมีหลายอย่างโดยเฉพาะรถยนต์เบ็นซ์ และอีก 1 คันเป็นยี่ห้อฮอนด้า ซีอาร์วี ซึ่งทางบริษัทยังติดไฟแนนซ์อยู่เฉพาะรถเบ็นซ์ ทางสำนักงานบัญชีซึ่งลูกค้าใช้บริการอยู่ ได้มีการแนะนำว่าควรจะเลิกปลายปี เนื่องจากจะใช้ประโยชน์จากค่าเสื่อมราคา จะทำให้การขายซึ่งจะตั้งราคาตาม book value บุ๊ค แวลลิว รถยนต์ที่ได้มีการหักค่าเสื่อมสะสมแล้ว ทำให้ราคาทางบัญชีเหลือน้อย บริษัทสามารถตั้งราคาต่ำประหยัดภาษีมูลค่าเพิ่ม

เรื่องนี้ผมได้แย้งว่ามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากลูกค้าทำอย่างนั้นคุณจะถูกสรรพากรตรวจสอบ เนื่องจากการขายรถยนต์ไม่เป็นไปตามราคาตลาด ผมอธิบายว่าเนื่องจากรถยนต์เป็นสินทรัพย์ที่มีราคา และสามารถหาราคาตลาดได้ง่าย อย่างเช่น หนังสือขายรถ สามารถเปรียบเทียบได้ทันที แล้วคุณจะหลีกเลี่ยงประเด็นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากตรวจพบภายหลังบริษัท จะมีภาระให้การถูกบวกกลับรายได้ คุณจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าปรับ และเงินเพิ่มตามกฎหมาย เรื่องเท่านี้แหล่ะครับที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจว่าจ้างเอ็นเอส เบสท์

โดยนายฝรั่งชาวอังกฤษตกลงจะจ่ายเงินงวดแรกให้ทันที โดยแจ้งมายังเลขาฯ ผมก็เลยบอกไปว่าเราพบกันก่อนดีมั้ย ยังไม่ควรไว้ใจสำนักงานบัญชีที่ได้มีการพูดคุยโดยยังไม่เห็นหน้า เพราะถ้าหากคุณทำอย่างนั้น ผมกลัวว่าลูกค้าจะเสียรู้พวก 18 มงกุฏ หรีอนักบัญชีที่ไม่รับผิดชอบ รับเงินไปแล้วหายหน้าไปตามประสบการณ์ที่เคยเจอลูกค้ามาหลายราย

ผมขอเข้าพบลูกค้าก่อนมีการพูดคุยกัน โดยผมยังคงอธิบายเรื่องสินทรัพย์เหมือนเดิม แต่มีประเด็นเพิ่มเติมก็คือ เลขาฯ คู่ใจที่เป็นคนไทย ยังไงบริษัท ก็ต้องมีการเลิกจ้าง ควรทำตามกฎหมายแรงงาน เนื่องจากพนักงานคนนี้ทำงานมาแล้ว 4 ปีควรได้รับการชดเชยตามกฎหมาย ข้อแรกเงินที่จ่ายไปนั้นถือเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท เพื่อมาหักลบกับรายได้ที่เกิดจากการขายสินทรัพย์ จะทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามที่ผมได้คำนวณคร่าวๆ จากเอกสาร รวมทั้งเป็นการจากกันด้วยดี ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่ทำงานมานาน

ส่วนเรื่องสินทรัพย์ที่เป็นรถยนต์ลูกค้านายฝรั่งต้องการขายตาม book value บุ๊ค แวลลิว ผมก็เลยบอกไปว่าถ้าหากมีการประเมินจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรในอนาคต คุณต้องรับรู้เรื่องเหล่านี้ด้วยว่าอาจจะมีการเสียภาษีเพิ่มเติมจากการประเมิน

หลังจากวันนั้นลูกค้าก็ได้ไปทำการโอนรถยนต์ที่กรมขนส่ง โดยตั้งราคาขายไว้ต่ำแต่เจ้าหน้าที่กรมขนส่ง ไม่ได้ยอมตามราคาดังกล่าวในการเสียภาษีค่าโอน โดยจะต้องยึดในราคาตลาดเช่นเดียวกัน

ประเด็นมีอยู่ว่า ราคาตลาดของกรมขนส่ง กับ กรมสรรพากร เป็นราคาเดียวกันหรือไม่ตอนชำระบัญชีเดี๋ยวก็รู้

ประเด็นที่จะเขียนต่อมา เหตุการณ์ในวันนั้นเนื่องจากบริษัท ได้ยื่นเลิกไปแล้วแต่ถูกสรรพากรยับยั้ง มีภาษีค้างชำระอยู่เกี่ยวกับรถยนต์ตามที่่เคยแจ้งไว้ โดยสรรพากรได้ยับยั้งไปยังกรมพัฒนาธุรกิจ ผมเองก็ไม่สามารถจดทะเบียนชำระบัญชีได้ เพราะทางบริษัทต้องไปจ่ายภาษีก่อน

เรื่องราวเลยมาเกือบ 2 ปี ภรรยาชาวอังกฤษ เขาโทรมาหาผมอีกครั้ง ผมจะแจ้งเหตุปัญหาว่าต้องชำระเงินให้สรรพากร เพื่อเขาจะได้ยกเลิกคำสั่งยับยั้ง เขาบอกนึกไว้ผมทิ้งเขาไปแล้ว ผมก็ยืนยันถ้าไม่สำเร็จก็จะไม่ยุติที่เงียบ เพราะฝั่งคุณเงียบเรื่องการชำระภาษีประมาณ 4 แสนสรรพากรเขาไม่ยอม ปลายสายบอกว่าเขาติดปัญหาเรื่องเงินจริงๆ ในช่วงนั้น แต่ตอนนี้พอมีแล้ว ผมก็ทำแบบชำระภาษี บอกให้เขาไปชำระภาษีที่สรรพากรพื้นที่ใกล้ๆ

แล้วส่งใบเสร็จมาให้ผม ผมต้องไปเดินเรื่องต่อที่กรมสรรพากร เพื่อให้เขาปลดบล็อก และกลับไปจดทะเบียนชำระบัญชีให้เสร็จสิ้นที่กรมพัฒน์

ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานมาก และงานเกินหน้าที่ไปมาก จะบอกว่าขาดทุนจากการทำงานมั้ย ก็คงพูดได้เพียงแต่อยากให้เรื่องจบ สบายใจทั้ง 2 ฝั่ง ผมไม่ได้ทิ้งงาน ไม่เคยคิดจะทิ้ง ทำจนสุดมือเท่าไหนเท่านั้น

บันทึกไว้ 14 กันยายน 2553

สาม สอเสือ