ข้อจำกัด
ในฐานะทำงานสำนักงานบัญชี หลายครั้งผมนั่งคุยกับลูกค้ามักจะถกกันในหัวข้อ ข้อจำกัดเสมอไม่ใช่เรื่่องเล่นๆ นะครับเรื่องข้อจำกัดทั้งศักยภาพ และข้อจำกัดเรื่องเงินทุนหนุมเวียน เพราะทุกคน ทุกอาชีพมีข้อจำกัดทั้งนั้น คือถ้าเรามองข้อจำกัดเราออก ก็คือการมองด้วยความระมัดระวังในอนาคต ไม่ได้บอกให้กลัวเกินไปจนไม่กล้าทำอะไร แต่ต้องเดินอย่างระวัง และมีสติอย่างยิ่ง
การลงทุนทำธุรกิจต้องไม่มองบวกมากนัก ถ้าเราลงทุนทำ จะดีอย่างนู้นอย่างนี้ จะรวย จะประสบความสำเร็จ มองด้วยความประมาท มีโอกาสที่ธุรกิจเราทำจะพบกับผลกระทบไม่ทางใดทางหนึ่ง ถ้าเราไม่มองจุดอ่อนไว้ก่อนทีอาจจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ในอนาคตขณะที่การค้ากำลังเจริญรุ่งเรือง หรือร่วงโรย พวกหนังสือมองโลกในมุมบวกผมมองว่าประมาทสำหรับคนทำการค้า
ความประมาทในการทำธุรกิจไม่มีผลดี เพราะเราอาจจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลงไม่ได้เลย จนถึงกับทำให้ธุรกิจที่เราทำเสียหายประคองตัวต่อไม่ได้ ล้มหายตายจากเลยก็มี
ผมเคยเตือนลูกค้าอยู่ท่านเคยรับงานในระดับปีละ 5 ล้านจนธุรกิจโตมา 10 กว่าล้านภายใน 3 ปี หลังจากนั้นโตก้าวกระโดด ลูกค้าหวังจะโตเป็น 40 ล้านต่อปีภายใน 2 ปี สุดท้ายไปไม่รอดธุรกิจเสียหายเป็นหนี้กว่า 10 ล้านภายใน 1 ปี เพราะประมาทในการรับงาน และไม่รู้ข้อจำกัด เงินทุน เงินหมุน เงินกู้ ผมจะเล่าให้อ่าน แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าทำอาชีพอะไร และเป็นใคร แต่ที่ต้องเขียนเผื่อคนจะได้ประโยชน์และฉุกคิดกับเหตุการณ์นี้ และเดินธุรกิจแบบระมัดระวังมากขึ้น
เรื่องมีอยู่ว่ามีลูกค้าอยู่รายนี้ในอดีตก็ทำงานประจำไปด้วย และก็เปิดบริษัททำงานไปด้วย ช่วงแรกรายได้บริษัทก็กระท่อนกระแท่นแต่ก็พอไปได้ บางส่วนก็อาศัยเงินจากเงินเดือนประจำมาจุนเจือบริษัทก็พอประคอง แต่ก็ต้องเหนี่อยเหมือนทำงาน 2 แห่ง (บริษัทลูกค้ารับทำงานป้ายให้โชว์รูมรถยนต์ชื่อดังแห่งหนึ่งพอได้งานจะใช้ซัพพลายเออร์อีกที) จนสุดท้ายลาออกจากงานประจำมาทำงานของตัวเองเต็มตัว ก่อนออกจากงานประจำผมถามว่า ได้หางานที่อื่นด้วยมั้ย จากบริษัทอื่นๆ นอกจากป้ายโชว์รูมรถยนต์เพราะเกรงว่าเดี๋ยวงานจะหมด จะไม่มีเงินเลี้ยงบริษัทต่อ เพราะเราพึ่งพาลูกค้ารายเดียวมันตรายมาก
ลูกค้าบอกว่าได้ติดต่อหางานป้ายกรมทางหลวงไว้แล้ว ส่วนงานโชว์รูมหลังจากหมดงานก็จะเป็นงานซ่อมแซมตามอายุการใช้งาน ไม่ต้องห่วงเพราะจะมีงานเรื่อยๆ ทั่วประเทศ ผมก็คิดว่าเขาคงวางแผนมาดีแล้วก็ไม่ได้ห่วง
การทำงานผ่านซัก 2 ปีบริษัทเติบโตจนมีรายได้ประมาณ 10 ล้านแต่เงินสดไม่พอต้องไปไฟแนนท์บิลกับพวกแฟคตอริ่งบริษัทในเครือ ธ.กสิกรไทยบ้าง ธ.ไทยพาณิชย์บ้าง เสียดอกเบี้ยไม่ใช่น้อยเพราะก็เริ่มเห็นสัญญาณไม่ดี ลูกค้าเริ่มค้างเงินงานบัญชี คือจะได้เงินหลังจากไฟแนนท์บิล ผมมองว่าเริ่มชำระเงินไม่ตามดีลแต่ก็ไม่ว่าอะไร เพราะพอยังช่วยประคองพอไหว
กิจการลูกค้าเปลี่ยนแนวไปรับทำป้ายหน้าตู้เอทีเอ็มหลายธนาคารงานเริ่มเยอะ คราวนี้จะโหมงานเข้าประมูลงานโดยไม่ดูข้อจำกัดของตัวเอง โดยเฉพาะเงินทุนหรือเงินสดหมุนเวียนในบริษัท ผมถามว่าปกติทำการค้ากับแบงค์เขาดีล เครดิตเทอมกี่เดือนกว่าจะจ่ายและต้นอยู่เท่าไร ข้อแรก 90 วันข้อที่สอง 70 เปอร์เซนต์
สมมุติว่าบริษัทมีรายได้ประมาณเดือนละ 1 ล้านบาทจะต้องใช้ทุน 7 แสน 3 เดือนก็ 2.1 ล้านบาทขนาดนี้บริษัทยัง ไม่มีเงินทุนเลยยังต้องไปไฟแนนท์ใบกำกับภาษียอมเสียดอกเบี้ย แล้วถ้างานเข้ามาเยอะขนาด 40 ล้านต่อปีคือขึ้นมา 4 เท่ารายได้ขึ้นมา 3.33 ล้านต่อเดือนต้นทุน 2.33 ล้าน 3 เดือนใช้ทุนเกือบ 7 ล้านแล้วจะหาเงินทุนมาจากไหน แล้วกิจการก็ไม่มีเงินทุนไม่มีสินทรัพย์ที่จะไปจำนองด้วย แต่ลูกค้าไม่เชื่อ ใช้บัตรเครดิตเงินกู้ส่วนบุคคลลุยธุรกิจ
สุดท้ายหมุนไม่ทันกิจการถึงกับล้มเลยติดหนี้กว่า 10 ล้านวันนี้กิจการยังคงดำเนินอยู่ โดยเจ้าหนี้ช่วยฟื้นฟูเขาว่ายังงั้นแต่วันนี้ผมยังไม่รู้ว่าเป็นยังไง หวังว่าเขายืนได้ซักวัน
ข้อคิดก็คือคนเราต้องรู้ข้อจำกัดของตนเอง ศักยภาพของตนเอง ว่ารับงานได้แค่ไหนถ้าเกินตัวไม่มีอะไรรับประกันว่าจะยืนต่อไปได้ อนาคตไม่ได้สวยหรูเสมอ
บันทึกไว้ 14 มกราคม 2556
สาม สอเสือ