ขอสติกลับคืน

บอกไม่ถูกครับกับบรรยากาศใกล้ปีใหม่ ผมเองผ่านการเป็นนักข่าวมา 14 ปี ก่อนจะมาทำบัญชีจริงจังเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะมาเป็นนักบัญชี ผมใช้เวลาเขียนหนังสือไม่นานนัก เขียนได้ทุกวันไม่ซ้ำเรื่อง ไม่ใช่ข่าวนะครับ เพราะถ้าเป็นข่าว อะไร ที่ไหน อย่างไร เขียนไม่ยาก แต่เขียนบทวิเคราะห์ หรือบทความแสดงความคิดเห็นที่ต้องจับประเด็นมันยากกว่าเยอะ

ด้วยความที่ไม่ได้เขียนบ่อย หลังจากหันหลังให้วงการน้ำหมึก แต่ก็พยายามไม่ทิ้งเสียเลย ทำให้กระท่อนกระแท่นไปบ้างกว่าจะคิดประเด็นเอามาเขียนได้ต้องใช้เวลาหลายวัน บางทีคิดประเด็นได้แล้ว ยังลากปากกาไม่ออกขึ้นต้นไปแล้วลงไม่ถูก กลายเป็นคนปากกาฝืด คิดไม่ออกสมองตื้อ ภาษาไม่สวย เขียนไม่น่าอ่าน

ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองน้อย ๆ ทุกครั้งที่ได้อ่านบทความดีๆ แล้วคันมือคันไม้ทุกที แต่ก็ไม่ได้ลงมือขณะที่คิดออกแถมไม่จดบันทึกไว้ก่อน พอข้ามวันมาเขียน สุดท้ายสติไม่เหมือนเดิม เริ่มต้นไม่ถูก ลงท้ายไม่ได้ สุดท้ายเขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนใหม่ก็เขียนไม่จบ ได้แต่ปลงว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมว่าตัวผมเองไม่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจ สิ่งเร้ารอบข้าง แต่จริง ๆ แล้วมันขัดหูขัดตาอย่างไรบอกไม่ถูก บางครั้งดูทีวีฟังบทสัมภาษณ์ ดูละคร ดูกีฬา แล้วเกิดกำลังใจ แต่พอดูข่าวเอาอีกแล้วเส้นรักชาติมันกระตุก ชอบคนนั้นเกลียดคนนี้ไม่มีเหตุผล ถามหัวใจดวงน้อย ๆ ของตัวเองว่าจะไปยุ่งกับเขาทำไม ก็นั่นสิตอบตัวเองไม่ได้แล้วจะไปตอบใครได้

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2548 ที่ผ่านมาก็เลยถือโอกาสเข้าวัดอีกครั้งเอาสมาธิ ไม่ค่อยได้เข้าเขาว่าน่าจะบาปหนาแหง ฮา

ไปทำสังฆทานที่วัดสร้อยทองแถวสะพานพระราม 7 กรุงเทพ ก็ได้หลวงพี่เห็นบอกว่าเป็นซีอีโอ ของโรงเรียนสอนพระเณร ช่วยเรียกสติกลับให้หน่อย พระท่านก็เอาเทียนจุ่มดินสอพอง เจิมไว้ที่น่าผาก ตอนนั้นบอกตัวเองว่าเอาวะ สติกลับมาแล้ว ที่ไหนได้พอวันทำงานวันแรกเหมือนเดิมสติมันถอยโดยไม่ต้องเข้าเกียร์

วันที่ลากปากกาเนี่ยก็เพื่อระบายความในใจใครอ่าน หรือไม่อ่านก็ช่าง แล้วก็พยายามตั้งสติ นั่งนึกกับตัวเองว่าจะทำอย่างไรหนอ

พึ่งจะมาได้สติหลังจากเขียนมาถึงก่อนบรรทัดสุดท้าย สติมันต้องล้างด้วยสติ ไม่มีใครช่วยล้าง ไม่มีน้ำยาใด ๆ ช่วยล้างสติให้กลับคืนได้ ยกเว้นสติของตัวเอง พอคิดได้ปัญญาก็เกิด

อยากให้คนในสังคมนี้มีสติ ไอ้ที่เย้ว ๆ ไล่คนนั้น ขับคนนี้ ไม่เอาอย่างนั้น ไม่เอาอย่างนี้ ผมว่ามีคนมีสติดีอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นที่ไปร่วมเย้ว ๆ กับคนอื่น มีสติเหลือเท่าไรไม่รู้ ใส่เสื้อสีเหลือง

รู้แต่ว่าเป็นเหยื่อของคนมีสติทั้งนั้น เต็มท้องถนนคนไร้สติ

บันทึกไว้ 4 ธันวาคม 2548

สาม สอเสือ