ขี้หมาหน้าบ้าน

เช้าวันนี้ผมตื่นนอนขึ้นมาก็ทำกิจวัตรประจำวันโดยปกติหลังจาก 8 โมงเช้าก็เปิดออฟฟิค เนื่องจากผมเป็นออฟฟิคเล็ก ๆ มีพนักงานไม่มากกิจกรรมบางอย่างในที่ทำงานก็ต้องทำเอง สลับกับพนักงานบางคนเรียกว่าอยู่กันแบบครอบครัว ในที่ทำงานผมจะจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ 1 คันเพื่อใช้ไปนั่นไปนี่ที่ไม่ไกลนัก ทุกเช้ารถมอเตอร์ไซค์จะถูกถอยออกไปจอดหน้าที่ทำงาน เช้าวันนี้กิจกรรมเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ มีกับดักขี้หมารออยู่หน้าที่ทำงานโดยที่ผมไม่ได้สังเกตุ ทั้งล้อ และเท้าของผมสัมผัสกับขี้หมาเต็ม ๆ กลิ่นคลุ้งไปทั่ว

ผมคิดว่าผมรู้ว่าเจ้าตัวไหนมาทิ้งทุ่นระเบิดไว้หน้าที่ทำงานผม ความจริงแล้วไม่ใช่ครั้งแรกเพียงแต่ทุกครั้งผมหลบทัน มีบ้าง ที่เสียทีเหยียบแล้วไม่รู้ดันพาติดรองเท้าขึ้นไปบนรถยนต์ส่วนตัว นั่งไปดมกลิ่นไป กว่าจะรู้ตัวก็ต้องเสียเงินรื้อพรมไปซักให้หายเหม็น เรื่องขี้หมาบางครั้งก็เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะไปว่าเจ้าของหมาก็เพื่อนบ้าน จะดุหมามันก็คงไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ได้เห็นตอนมันขี้ สุดท้ายก็รับกลิ่นรับกรรมกันไป ผมเคยพูดติดตลกกับพรรคพวกที่เครียดเรื่องขี้หมาว่า อย่าไปคิดอะไรมากจะไปอุดตูดหมาก็คงไม่ได้

เรื่องขี้หมาถ้าหากใครได้ตามข่าวกันบ้างคงจะรู้ บางครั้งเรื่องขี้หมา ก็ไม่ใช่ขี้หมาเลยซะทีเดียว ถ้าหากคู่กรณีเกิดความตึงเครียดชกต่อยก็มี ดักตีหัวก็มี งัดปืนเอามายิงเพื่อนบ้าน เพื่อดับชนวนเรื่องขี้หมาก็เยอะตายกันมานักต่อนัก บาดหมางกันทั่วบ้านทั่วซอย เรื่องอย่างนี้ถ้าหากคุณคลุกเข้าในวงปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนรับรองว่าคำตอบไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องไก่กับไข่ ใครเกิดก่อนกันเลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณเป็นคนนอกจะได้รับคำตอบที่แตกต่างกัน

คุณว่าใครผิด

คนแรกผมเอง ดันเป็นเหยียบขี้หมาเอง เพราะมันวางของมันอยู่เฉยๆ ผมว่าบางคนคิดว่าการเหยียบขี้หมาเป็นเรื่องกรรมเวร โดยไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเองที่ดันไปเหยียบขี้หมา

ตัวที่สอง คือ หมา เพราะมันเลือกที่จะทำพื้นสกปรกขี้ไม่เป็นที่เป็นทาง ปล่อยให้บ้านเมืองสกปรกก็เพราะมัน ไม่มีวัฒนธรรมหมา ๆ ให้มันสวยแค่ไหนลองได้ขี้เลอะเทอะแบบนี้ก็รักไม่ลง

คนที่สาม เจ้าของหมาไม่รู้จักดูแลหมาของตัวเอง ปล่อยให้ขี้เรี่ยราดตามท้องถนนฟุตบาท ไม่รู้จักสอนให้ขี้เป็นที่เป็นทาง หรือเก็บกวาดขี้หมาให้ทันก่อนที่จะมีคนมาเหยียบ

เรื่องหมา ๆ ยังมีอีกเยอะอย่างเช้าวันหนึ่งผมเปิดออฟฟิคตามปกติ มีแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาช้ามาก เพราะกำลังจะติดไฟแดงอยู่ก็มีหมาวิ่งตัดหน้า รถแท็กซี่วิ่งชนแต่ไม่แรงมากนัก แต่ก็ทำให้หมาหลุดเข้าไปใต้ท้องรถ รถแท็กซี่ยังคงไหลไปแบบเอื่อย ๆ ล้อหน้าทับหมาแล้วรถยังคงเคลื่อนต่อไปทับล้อหลังต่อ หมาตัวนั้นร้องด้วยความเจ็บปวด จนรถแท็กซี่จอด คนขับเปิดประตูมาดูหมา ผู้โดยสารแท็กซี่เปิดประตูด้วยหน้าตาตื่น แล้ววิ่งเปลี่ยนคันทันที หลายคนด่าแท็กซี่ ถ้าหากหยุดก็คงไม่ทับหมา เจ้าของหมาวิ่งออกมาอุ้มหมา

คุณว่าใครผิด

คนขับแท็กซี่ ถ้าหากรู้ว่าชนหมาก็ควรจะหยุด เป็นไปได้หรือไม่คนขับแท็กซี่ กลัวทับหมาคาล้อรถถ้าหากเลื่อนออกไปหมายังมีโอกาสรอด

หมา เพราะถนนย่อมไม่ใช่ที่เดินของหมาแน่นอน แม้กระทั่งคนก็ไม่ควรลงไปเดินหรืออยู่บนถนนเหมือนหมา ควรจะเป็นที่ทางของรถ เพราะทั้งหมา และคน สังคมเขาออกแบบไว้ให้เดินฟุตบาทไม่ใช่ถนน

เจ้าของหมา จำเลยคนเดิมที่ไม่ดูแลหมาให้ดี หมามันจะรู้หรือไม่ว่าถนนไม่ใช่ที่เดินของหมา แม้แต่คนบางคนยังไม่รู้เลยว่าถนนมันเป็นที่ของรถยนต์ไว้สัญจร ไม่ใช่ที่ของหมา และคน เจ้าของหมาควรจะเป็นผู้โดนประณามมากที่สุดในโศกนาฎกรรมครั้งนี้

กลุ่มพันธมิตรประท้วงกันอยู่ที่ถนนราชดำเนิน ผู้คนแถวนั้นเดือดร้อนกันทั่ว ข้าราชการ , นักเรียน , พระเณรเถรชี , ประชาชนที่ผ่านไป ผู้นำประท้วงออกมาพูดว่าปิดถนนไม่ผิด เพราะรัฐบาลไม่ยอมลาออก สมัยก่อนบอกว่าคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก็คือคนที่มานั่งประท้วง เพราะตากแดดตากฝน คนอื่นเดือดร้อนเล็กน้อยเพื่อประเทศชาติดีขึ้น

คุณว่าใครผิด

ผู้นำประท้วง ไม่ยอมลดวาลาศอกให้ไปประท้วงเป็นที่เป็นทางไม่ให้กรีดขวางทางสัญจรของผู้คน ใช้ลานกว้างที่ไหนซักแห่งชุมนุมกันให้เต็มที่

ผู้ร่วมประท้วง เดินตามผู้นำแบบไม่มีความคิดเขาให้อยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น แม้แต่กองทัพธรรมที่กำลังเบียดเบียนผู้อื่น น่าจะผิดวินัยสงฆ์

รัฐบาล ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเขาประท้วงกันขนาดนี้ยังไม่ยอมลาออก งานการก็ทำได้ไม่เต็มที่เปลืองภาษี เปลืองเงินเดือน

คนละแวกนั้น สบถ บ่นอยู่ได้เสียงดังก็แค่ทำงานไม่ได้ ศพคนแค่ย้ายวัดไปสวดที่อื่น ผู้ปฎิบัติธรรมก็ไปที่อื่นถ้าหากต้องการความเงียบ นักเรียนก็ตื่นให้เช้าขึ้นกินข้าวบนรถ ทำธุระส่วนตัวบนรถก็แค่นั้น คนสัญจรแถวนั้นก็แค่นั่งรถวนให้ไกลหน่อย เสียเงินมากหน่อย ไม่สะดวกหน่อยก็เท่านั้น เฮ่อ…..

เรื่องของหมาไปเกี่ยวกับคนจนได้

บันทึกไว้ 4 มิถุนายน 2551

สาม สอเสือ