เรื่องเล่าจากอดีต เติบโตคนละแนวทาง

ต้องสารภาพบทความชิ้นสุดท้ายเป็นเรื่องที่บันทึกยากที่สุด เนื่องจากได้มีการแยกกันอยู่แต่ละครอบครัว การพบเจอหน้ากันเป็นเรื่องสั้นๆ มากโดยหลักแล้วครอบครัวคนจีน จะวนเวียนมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในวันเชงเม้ง ไหว้บรรพบุรุษแต่ก็เจอกันไม่ครบ ถ้าเชงเม้งไม่ตรงวันอาทิตย์ เพราะทุกคนมีภาระกิจต่างกัน ในยุคที่ต้องทำมาหากินคนละแบบ คนละอย่าง บางอาชีพการหยุดงานอาจเป็นเรื่องต้องห้าม สำหรับการทำงานของแต่ละคน การพูดคุยไถ่ถามจึงน้อยมาก

เพิ่งจะมาปีนี้ต้นปี 2567 ครอบครัวสมบัติสุวรรณ ได้สูญเสียซ้อเล็กอย่าง งงๆ ด้วยวัยที่ไม่มากนักถ้าเทียบกับผู้เขียน ถ้าจำไม่ผิดเป็นฝีที่ต้นขาแบบไม่มีอาการ ยังมีการเดินทางท่องเที่ยวในครอบครัวช่วงปีใหม่ อยู่ๆ หลังจากกลับบ้านก็รู้สึกไม่สบายเข้าโรงพยาบาล และก็สูญเสียอย่างรวดเร็ว ติดเชื้อในกระแสเลือด ทุกคนงงกันหมดไม่มีอาการเลย เป็นเพราะฝีเล็กๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้นบนต้นขา เรื่องที่ผมเขียนเหมือนเป็นการเตือนสำหรับผู้อ่าน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีอาการมากนักและไม่ทำการรักษาทันท่วงที อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมของครอบครัว แบบไม่มีใครคาดคิด

พบเจอกันครั้งนั้นในหมู่ญาติพี่น้อง มีการพูดคุยตั้งไลน์กลุ่ม ครอบครัวสมบัติสุวรรณ ให้ทุกคนเข้าพูดคุยแชร์เรื่องราว อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น รู้เรื่องราวในอดีตที่ขาดหายจากใครบางคน ที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำให้เรื่องราวยิ่งสนุก และเป็นเรื่องใหม่มาก

การพูดคุยกันในไลน์กลุ่ม ผมได้พบกับเรื่องใหม่ๆ จากเจ๊หมวย ผู้ใกล้ชิดกับแม่มากที่สุดในอดีต และ อั้ง ลูกชายคนโตของเฮียเล็ก ผู้ใกล้ชิดกับอาม่า ก่อนที่ท่านจะเสียและจากไปจากครอบครัว เรื่องราวในอดีตเยอะแยะไปหมดทำให้เกิดบทความนี้ขึ้นมา แต่ข้อมูลไม่ได้ครบถ้วนมากนัก จับประติดประต่อเท่าที่มี เพราะบางคนก็ไม่ถนัดพิมพ์ หรือบางคนก็ไม่อยากเขียน จะเป็นเพราะอะไรไม่ทราบได้ ผมพยายามให้บันทึกเสียงเล่าเรื่องก็ได้ จะใช้ความรู้จากอดีตนักข่าวเคยสัมภาษณ์แหล่งข่าวมามากมาย แล้วถอดเป็นตัวอักษร

เริ่มต้นครอบครัวพี่ชายคนโต เฮียช้ง และ ซ้อป๋อง ซึ่งมีลูก 3 คน โอ๋ แอร์ มินต์ คนโต โอ๋ ก็ช่วยทำธุรกิจที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน เกี่ยวกับการจำหน่ายเครื่องครัว อยู่ละแวกลำลูกกา คนกลาง แอร์ เล่าเรียนสูง และได้ไปทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ส่วน มินต์ ผมไม่รู้ว่าทำงานเกี่ยวกับอะไรไม่มีข้อมูล

เจ๊หมวยกับอานึ้ง “เฮียฮง” ในอดีตก็ทำธุรกิจโรงไม้ใหญ่ จำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้าง และไม้ อยู่แถวหัวถนนรามอินทรา และได้ย้ายมาตั้งร้านค้าแห่งใหม่เป็นตึกแถวใหม่ ตรงข้ามบิ๊กซี สะพานใหม่ ถ้าคนในยุคอดีตจะรู้ว่าอยู่แถวซอยเสนาวัฒนา ซึ่งปัจจุบันไม่มีแล้วตำแหน่งที่ตั้งปัจจุบันก็คือถนนข้างบิ๊กซี สะพานใหม่ เอ๋ แอน อัน บางคนก็ช่วยงานอยู่ที่ร้านแห่งนี้ บางคนก็แต่งงานแยกครอบครัว ผมเองก็ไม่รู้ไปทำธุรกิจอะไรกันบ้างไม่มีข้อมูล รู้แต่ว่ายุคนี้อุปกรณ์ก่อสร้างไม่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัวเจ๊หมวย เพราะใช้แรงงานเยอะและกำลังกายเยอะ จึงเปลี่ยนทำธุรกิจใหม่ในร้านค้าแห่งเดิมเป็นของใช้ในครัวเรือน

ครอบครัว เฮียเล็ก กับ ซ้อเล็ก ที่เพิ่งเสียชีวิตซึ่งเป็นบ้านเริ่มต้นของครอบครัว สมบัติสุวรรณ ที่ตลาดกรุงสยาม สะพานใหม่ เปลี่ยนธุรกิจมาหลายอย่างสุดท้ายมาลงตัวที่ จำหน่ายเสื่อน้ำมันเป็นอาชีพหลัก โดยมี อั้ง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และเฮียเล็ก ที่ยังมีกำลังแต่อาจจะถดถอยด้วยวัย แต่ก็มีอีก 2 คนช่วยกันทั้ง ฮุ้ง และพลอย ในการค้าที่ต้องพึ่งออนไลน์ตามยุคสมัย ที่สำคัญมากกลยุทธการขายเสื่อน้ำมัน ปกติจะพบเจอแต่ขายเป็นม้วน หรือเป็นเมตร แต่ บริษัท นิวสยาม (ง้วนเฮงหลี) จำกัด ให้ลูกค้าวัดขนาดห้องมากว้างคูณยาว อั้ง จะคำนวณให้ต้องใช้กี่เมตร เพื่อไม่ให้เหลือเศษที่ต้องตัดทิ้งมากนัก

เฮียน้อย กับ ซ้อต่าย หลังจากสร้างครอบครัว เฮียน้อยทำงานอยู่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ในอดีตเพราะจบทางวิศวกรรมไฟฟ้า และต้องไปเรียนต่อปริญญาโททุนขององค์การฯ สาเหตุที่ใช้คำว่าต้อง เพราะถูกที่ทำงานบังคับต้องไป เริ่มต้นงานด้วยตำแหน่ง วิศวกรระบบสื่อสัญญาณ ถ้าจำไม่ผิดเป็นผู้วางโปรเจคสายใยแก้วนำแสง “ไฟเบอร์ออฟติก” เข้ามาในประเทศไทยในยุคแรกขององค์การโทรศัพท์ ส่วนตำแหน่งสุดท้ายลาออกก่อนเกษียณอายุ ผู้จัดการส่วน โทรศัพท์ระหว่างประเทศ ในชื่อใหม่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ระหว่างทำงานตำแหน่งก็ไต่เต้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องไปประชุมกับหน่วยงานในต่างประเทศหลายครั้งหลายหน ส่วนซ้อต่าย ก็เปิดร้านขายเพชร ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ เกิดเหตุพลิกผันเพลิงไหม้ใหญ่ เดอะมอลล์งานวงศ์วาน ปี 2538 ทำให้สินค้าเครื่องเพชรเสียหาย แม้แต่อยู่ในเซฟ ช่วงระหว่างที่เฮียน้อยต้องเรียนอยู่ที่สหรัฐ หรือ ฟินแลนด์ ผมจำไม่ได้ คิดถึงใจผมว่าระหว่างนั้นคงว้าวุ่นน่าดู ผมเองยังไปเป็นลูกมือช่วยลากตู้เซฟกลับบ้าน แต่จำไม่ได้ว่าใช้รถกระบะใคร เป็นเรื่องในอดีต ส่วน โม กับ เจ๊ท ลูกสาว คนโตปัจจุบันก็ทำธุรกิจกับครอบครัว เปิดบริษัทจำหน่ายสายไฟ สายสื่อสาร แถวถนนสายไหม เฮียน้อยเข้ามาช่วยให้คำปรึกษา

ส่วนผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานผ่านอาชีพ บริษัทเยอะมากไม่ลงลายละเอียด เซลล์ก็เคยเป็น จนผันตัวเองมาเป็นนักข่าว เริ่มต้นชีวิตที่มติชน ในฐานะนักข่าวกีฬา มาสปอร์ตนิวส์ในเครือมติชน และมีการลาออกกันครั้งใหญ่ เป็นความขัดแย้งของผู้ใหญ่ผมลาออกตาม มาอยู่หนังสือพิมพ์ในเครือวัฏจักร หนังสือพิมพ์โลกกีฬา ทำงานอยู่หลายปีจนได้ขึ้นเป็นรองหัวหน้าข่าว แต่รับผิดชอบข่าวหน้า 1 พาดหัวบ่อยมากสัปดาห์ละหลายวันกลับบ้านเกือบเช้าบ่อยๆ งานฝาก ก่อนโดนพิษต้มยำกุ้ง ปี 2540 มาเปิดบริษัทไว้ก่อนปี 2539 เกี่ยวกับบริษัทโฆษณา ลงทุนทำห้องสตูดิโอไว้ถ่ายภาพ พอเจอปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไปไม่ถูกเหมือนกัน อาชีพนักข่าว ก็ถูกเลิกจ้างกับภรรยา คือ เอ๋ นักข่าวบันเทิง ส่วนบริษัท นิวสยาม สตูดิโอ กราฟฟิค งานหดไม่มีงาน หนี้สินที่กู้ธนาคารมาเพื่อลงทุนธุรกิจ ไม่มีเงินจ่ายเขาก็ฟ้องยึดทรัพย์ ยึดบ้าน แต่ขั้นตอนเยอะไม่เล่าแล้วกัน เพราะปัจจุบันเอากลับคืนมาได้แล้ว เป็นทรัพย์เดียวที่แม่ให้ไว้

หลังจากธุรกิจโฆษณาเดินต่อไม่ได้ มีพรรคพวกชื่อเขียว คนพัทลุง ที่เป็นสรรพากร เขาบอกให้ผมเปิดสำนักงานบัญชี ผมเองก็ไม่จบทางด้านบัญชี จบแต่บริหารการตลาด พรรคพวกบอกก็ไปเรียนเพิ่ม ช่วงแรกผมช่วยเองได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เอ็นเอส เบสท์ และตัดสินใจไปเรียนบัญชี ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ปี 2545 ใช้เวลาเรียน 2 ปี แต่เนื่องจากมีกฎหมายกำหนด ต้องเก็บวิชาบัญชีให้ครบ ต้องลงอีก 1 วิชาทั้งๆ ที่เคยมีวุฒิวิชานี้มาแล้ว เลยเสียเวลาอีกครึ่งปี ถึงจะจบสมบูรณ์สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีได้ตามกฎหมาย โชคดีเป็นคนที่ปลูกฝังการอ่านมาอยู่แล้ว การเรียนเลยไม่ยากนักเพราะอ่านอย่างเดียวแล้วไปสอบ

คนสุดท้าย โกสุรีย์ น้องพ่อแต่พวกเราไม่ถือเป็น อา จะถือเป็นพี่น้องกันมากกว่า เพราะวัยไล่เรี่ยกัน มีชีวิตโลดโผนพอสมควร ช่วงชีวิตหนึ่งย้ายไปอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ กับ สามีชื่อ คาร์ล อยู่กันหลายปี ก่อนจะย้ายมาอยู่เมืองไทยทั้งคู่ พักอาศัยอยู่แถวบางแค โดยอาศัยเงินบำนาญจากคาร์ล ที่ได้ทางการสวิตฯ ก็พออยู่ได้ไม่ฟู่ฟ่า แต่ก็ไม่ลำบาก

บันทึกครอบครัวฉบับนี้ เสมือนลอดลายมังกร ไม่ใช่บันทึกเพื่องานใดงานหนึ่ง พยายามสอดแทรกช่วงเวลาสำคัญทั้งประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ในอดีตทางสังคม อาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับผู้อ่านทั่วไป

บันทึกไว้ 22 ตุลาคม 2567

สาม สอเสือ