เนื้อสองแดดโบราณ
ช่วงสงกรานต์ก็เดินทางตามปกติ ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าการพักผ่อนดีมั้ย หรือไปเปลี่ยนที่กินเหล้า แต่ก็กินไม่ได้เยอะนั่งคนเดียวก็กินคนเดียว ไปนอนโรงแรมที่ปากน้ำปราณบุรี โรงแรมแบบนี้แถวหัวหินเยอะ คงไม่เล่าบรรยากาศในโรงแรมหรอกครับ มันก็เหมือนๆ กัน
ตัดบรรยากาศกลับมาชะอำ พักที่บ้าน มีพรรคพวกขอตามมานอนด้วย เป็นครอบครัว พ่อแม่ลูก ผมเองก็ยินดีอย่างน้อย ก็มีเพื่อนดื่มไม่ใช่นั่งคนเดียว ก่อนจะเข้าบ้านผมนั่งนึกสิ่งที่ต้องทำ สำคัญมาก (ทำเสียงเข้ม) คิดมาจากกรุงเทพ เพราะเห็นอากาศร้อนมาก แดดแรง
เนื้อแดดเดียว หมูแดดเดียว จำบรรยากาศตอนเด็กๆ ที่เคยเคี้ยวเนื้อเค้มกับข้าวราดแกงข้างบ้านเก่า ยังติดใจแต่ ปัจจุบันไม่ค่อยมีขาย แปลกใจเหมือนกันหรือเพราะว่าแพง หรือสูตรเปลี่ยน เพราะผมเห็นที่ขายกันอยู่ทุกวันนี้ หมักซอสถั่วเหลือง ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศเคี้ยว มันไม่โบราณ น่าจะตั้งชื่อเนื้อแดดเดียวสูตรโบราณ เห็นร้านอาหารชอบตั้งชื่อโบราณ โบราณกันบ่อยๆ สลิ่มโบราณ กาแฟโบราณ ขนมเบื้องโบราณ
ในตลาดชะอำมันก็มีทุกอย่างเหมือนตลาดใหญ่ๆ แต่สิ่งที่มีเยอะหน่อยก็อาหารทะเลสด แต่ต้องมาเช้า เพราะสายๆ ตลาดวาย ถ้าแม่ค้าน็อกน้ำแข็งให้อาหารทะเลช่วงสายๆ ไม่ดีอาหารทะเลจะไม่สดคนซื้อดูไม่เป็นก็ได้ของไม่ดี
ผมเลือกซื้อเนื้อวัวบอกแม่ค้าขอซื้อเนื้อ 2 กิโลจะเอาไปแดดเดียว ผมเองก็เลือกไม่เป็นอันไหนควรเอาไปแดดเดียว แต่แม่ค้าเลือกให้ อีกอย่างที่ติดมือก็คือ เนื้อหมู 1 โล เพราะมีหลายคนไม่กินเนื้อวัว ส่วนผมเป็นมนุษย์กินเนื้อ (วัว) ส่วนอาหารทะเลคงเว้นวรรค เพราะเบื่ออีกอย่างท่านผู้นำบอกว่าถ้ามันแพงก็ไม่ต้องกิน ให้คนรวยเขากิน ผมสำรวจตัวเองไม่รวยแน่ๆ ผมก็เชื่อท่านผู้นำสูงสุด
ก่อนกลับบ้านที่พัก ผมรู้อยู่แล้วการตากของสดเหล่านี้มันมีความเสี่ยง เพื่อนหัวเขียวมันจะมากินก่อน ซึ่งจะดูไม่งาม ก็เลยไปร้านถุงพลาสติกบอกแม่ค้าเอาใหญ่ที่สุดในร้าน
แม่ค้าถามว่าจะเอาไปทำอะไร ผมบอกเอาไปหุ้มกระด้ง (ผมนี่โคตรฉลาด) ถุงพลาสติก ชุดนั้นใหญ่มาก ผมไม่เคยเห็นในกรุงเทพผมว่ายาวเกือบเมตร ถามในใจเขาซื้อไปใส่อะไรกันวะ อย่าบอกนะว่าหุ้มกระด้ง อันนี้มันสูตรผม..คริคริ
กลับมาถึงบ้านก็ต้องแล่เนื้อวัว เนื้อหมู ให้บางตามความสามารถนิดหน่อยที่มี แยกกระมังเดี๋ยวคนไม่กินเนื้อวัว จะงอนทำใจไม่ได้
แบ่งไว้ 2 กระมังใส่เกลือ น้ำปลา ผงชูรสนิดหน่อย นี่สูตรเด็ดเลยนะ (สูตรเด็ดไงวะ)
คลุกเคล้าไว้ซะพัก ก็เริ่มกรรมวิธีเอาส่วนของน้ำออกจากเนื้อแบบช้าๆ โดยใช้ความร้อนจากแสงแดด แถวบ้านผมเรียกว่าตากแดด คนอื่นไม่รู้เรียกอะไร….ฮา
ค่อยเรียงไปทีละชิ้น ทีละชิ้น ทั้งเนื้อวัว และเนื้อหมู แยกกระด้ง วางบนแคร่ไม้ไผ่ แล้วเอาถุงพลาสสติคใส มาตัดออก 1 ข้าง และหัว เพื่อแผ่เป็นแผ่นเดียว อามาคลุมทั้งกระด้ง ใช้อุปกรณ์ชนิดพิเศษที่ผมคิดได้อีก (ฉลาดมาก) ไม้หนีบผ้า มาหนีบพลาสสติกกับขอบกระด้ง ป้องกันเพื่อนหัวเขียวมากินก่อน แต่เท่าที่สังเกตไม่ค่อยมี มีแต่แมลงหวี่มาตอม มันสามารถมุดรูกระด้งได้ ซึ่งผมทำใจได้มันน่ารักกว่า ไอ้หัวเขียว
ตากอยู่ทั้งวันก็ไม่เก็บเพราะยังแห้งไม่ดีพอ ก็เลยตัดสินใจเอาอีกซักแดดวะ เริ่มไม่ใช่แดดเดียวกลายเป็น สองแดด กะให้แห้งสนิท
ตากจนถึงบ่ายแก่ของอีกวัน หมูก็ทอดกินเลย คนกินบอกอร่อย ส่วนเนื้อวัวเกรงใจเจ้าบ้าน ต้องหอบมาทอดที่กรุงเทพ ถือเป็นของนำเข้าจากชะอำ
กลับมาถึงกรุงเทพ ก็เริ่มทอดกินกับข้าวอาหารตามสั่ง ตอนเคี้ยวเนื้อสองแดดฟินเว่อร์ คิดถึงเพลง หลวงพี่แจ๊ส 4 จี (ไม่เกี่ยวยังไง)
สรุปว่าฟินแต่ยังเค้มไม่พอ ก็เลยเอาที่ทอดแล้วทั้งหมดมาชะโลมน้ำปลาดีอีกรอบ ใส่กล่องใส่ตู้เย็นไว้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองใหม่ จะโบราณเหมือนที่เคยกินตอนเด็กๆ หรือไม่
เนื้อสองแดดโบราณ ของแท้
บันทึกไว้ 18 เมษายน 2559
สาม สอเสือ